รถไฟ Barreado และฝนตกชุ่มฉ่ำ
รุ่งเช้ามาถึงพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ครั้งแรกในรอบหลายอาทิตย์ที่ผมได้สัมผัสความอบอุ่นสักที รถไฟไปมอร์เรสเตจะออกจากท่าประมาณ 9 โมงเช้า ผมจึงใช้โอกาสในตอนเช้าสำรวจสวนสาธารณะเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากที่พักไม่ไกลนัก มันเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาสิ่งแวดล้อมพร้อมสรรพด้วยเครื่องมือวัดค่าอากาศและน้ำ ออฟฟิศสร้างด้วยไม้ครอบหลังคาผ้าใบเปิดโล่งให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลายใกล้ชิดธรรมชาติแก่พนักงาน ผมสำรวจสวนและเดินไปตามทางก่อนที่จะย้อนกลับมาที่ทางเข้าเพื่อสมทบกับเพื่อนซึ่งจะขับรถไปส่งผมที่สถานีรถไฟ
การเดินทางด้วยรถไฟจากคูริติบา (Curitiba) ไปมอร์เรสเต (Morretes) เป็นอีกหนึ่งของการเดินทางที่ไม่ควรพลาด ภายในระยะสั้นๆ จากเมืองรถไฟเคลื่อนขบวนผ่านพื้นที่ป่าเมื่อค่อยๆ ไต่ขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขามารุมบิ (Marumbi Mountains) เซอราดูมาร์ (Serra do Mar) เป็นพื้นที่อุทยานป่าเขตฝนชุกแอตแลนติกที่ใหญ่ที่สุดในบราซิลและเป็นบ้านอันกว้างใหญ่ของดอกไม้และสัตว์นานาพันธุ์ การเดินทางระยะทาง 110 กิโล ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รถไฟเคลื่อนผ่าน 14 อุโมงค์ ข้าม 30 สะพาน สะพานที่ยาวที่สุดซึ่งก็คือ เดอะเซาโยเอา (the Sao Joao Bridge) มีความยาวถึง 113 เมตร สะพานหินที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ เดอะเวียดักท์คาร์วัลโฮ (the Viaduct Carvalho) สะพานหินโอบล้อมเขายาว 86 เมตรและรองรับด้วยเสาหิน 6 ต้น ไม่สามารถที่จะมองเห็นทางรถไฟข้างใต้ และให้ความรู้สึกประหนึ่งรถไฟกำลังเหินไปบนอากาศ ทิวทัศน์งดงามตระการตาตลอดเส้นทาง และใครที่สามารถละสายตาจากมือถือเกินกว่า 5 วินาทีครั้งนี้คือทริปที่มหัศจรรย์ดั่งต้องมนต์
อาหารเยอะทำให้โต๊ะงอ
ครั้นเมื่อถึงเมอร์เรสเต มีหลายทางเลือกแก่ผู้มาเยือน จากเดินเล่นไปตามถนนช็อปปิ้งในเมืองที่หลับไหลจนถึงลิ้มรสไอศกรีมแสนอร่อยที่ปลายทางสะพาน แน่นอนสิ่งที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวเมืองนี้คือการได้ลิ้มรสอาหารกลางวันปารานา (Parana) ที่แท้จริงที่รู้จักกันในชื่อ บาร์เรียโด (barreado) ซึ่งประกอบด้วยสตูว์เนื้อชิ้นหนาเสิร์ฟพร้อมข้าว แป้งมันสำปะหลัง กล้วย กุ้ง ปลา สลัด และอื่นๆ กับความจริงที่ว่ามีอาหารมากมายบนโต๊ะที่เกินจะอิ่มเพียงคนเดียว ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือไปเป็นกลุ่มเพื่อแชร์อาหารท้องถิ่นรสเลิศนี้ด้วยกัน
ผมได้ชื่อร้านนี้มาจากเพื่อนและเขาบอกว่าเป็นร้านที่ดีที่สุดในเมือง พวกเขาและครอบครัวมารับประทานอาหารที่นี่บ่อยครั้งในหลายปีก่อนและจำความรู้สึกที่ดีนั่นได้เป็นอย่างดี ผมจดลงอย่างเร็ว และเจอร้านตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำด้วยวิวแม่น้ำที่งดงามทั้งสองข้าง ขณะที่ผมเดินข้ามสะพานเหล็กเพื่อไปยังร้านอาหารกลุ่มเด็กๆ เรียกให้ผมสนใจ – เหมือนทุกที่บนโลกที่มีสะพานข้ามแม่น้ำจะมีพวกชอบเสี่ยงตายที่ท้ากันให้กระโดดลงไป – เมื่อผมเข้าไปใกล้ หนุ่มที่อายุน้อยกว่ากระโจนพุ่งหลาวจากราวที่ต่ำในระดับความสูง 20 ฟุตลงไปยังบ่อเบื้องล่าง ด้วยเสียงตะโกนจากผู้เชี่ยวชาญที่แก่กว่าเรียกความสนใจจากเด็กๆ และผู้คนที่ผ่านไปมาและกระโดดจากยอดสะพานสูงลงกระทบผิวน้ำที่ 30 ฟุต ผมได้ยินเสียงเชียร์กระหน่ำของเด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าซึ่งตอนนี้ต่างยุกันให้กระโดดจากจุดที่สูงขึ้น ผมสั่นศีรษะและหันกลับ แค่เพียงมองจากขอบสะพานลงไปที่แม่น้ำด้านล่างก็ทำให้ผมมึนหัวแล้ว ผมไม่อยากจะเห็นการกระโดดอะไรอีก และผมรู้สึกหิวมากเลยรีบเร่งไปให้ถึงร้าน ผมสั่งอาหารที่น่ารับประทานเหล่านั้น และได้รับการแจ้งหลังจากกินไปได้ครึ่งทางว่ามันเป็นบุฟเฟ่ห์เติมไม่จำกัด ดังนั้นหลายจานจึงได้รับการเติมทันทีหลังจากรับประทานหมด ถ้าผมรู้ก่อนหน้า ผมจะกินให้ช้าลง และรอจานหลัก แต่เพราะผมไม่รู้ผมเลยกินอาหารจานชุดแรกมาก่อนและน้ำตาต้องไหลต่อนที่ดูรายการอร่อยๆ ทั้งหมดที่ยังคงอยู่ในตารางที่ผมไม่สามารถกินได้อย่างเต็มที่ น่าเสียดายที่ผมสามารถลิ้มรสเพียงบางส่วนของอาหารเหล่านั้น และช่างน่าเสียดายที่ไม่สามารถนำอาหารกลับบ้านได้
ตกรถ และพายุแห่งทศวรรษ
เมื่อเสร็จสิ้นมื้อกลางวันผมไม่สามารถอยู่ในสภาพที่เดินไปไหนไกลได้ ดังนั้นผมจึงนั่งพักอย่างสงบดื่มด่ำกับกาแฟสักถ้วยที่คอฟฟี่ช็อปใกล้ๆ ชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของแม่น้ำและเมือง พักจนพอและย่อยจนได้ที่ ผมเริ่มออกสำรวจเมืองส่วนที่เหลือ เดินเล่นแวะชมร้านต่างๆ ถ่ายรูปสองสามรูปของสิ่งปลูกสร้างท้องถิ่นและงานศิลปะที่ทำจากโลหะ นั่งพักและรื่นรมย์ต่ออีกหน่อยก่อนจะเดินไปยังท่ารถฝั่งตรงข้ามของเมืองเพื่อซื้อตั๋วขากลับไปคูริติบา – ผมน่าจะไปที่นั่นก่อนหลังจากมาถึงโดยรถไฟเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้า เพราะรถที่จะออกใน 20 นาทีข้างหน้าถูกจองเต็ม และผมไม่สามารถจะได้ที่นั่งในคันอื่นๆ อีกจนเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ผมยื่นเงินให้เพื่อจะได้แน่ใจว่าไม่พลาดเที่ยวหนึ่งทุ่มอีก หลังจากนั้นจึงเดินหาที่นั่งพักเงียบๆ เพื่อรอเวลาที่เหลืออีกสองชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาถึง และผู้โดยสารเริ่มทยอยขึ้น มันเต็มทั้งคันรถ และขณะที่พวกเราเคลื่อนออกจากท่า ฝนก็ตกปรอย สองชั่วโมงหลังจากนั้นผมกลับถึงท่ารถที่คูริติบา เจ้าของบ้านเสนอจะมารับผม ทั้งหมดที่ผมต้องทำคือส่งข้อความให้เขาเมื่อมาถึง โชคร้ายว่าฝนที่ตกปรอยนั่นตอนนี้กลับกลายเป็นพายุฝนกระหน่ำ และแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเดินออกมาจากท่ารถ ผมกะว่าจะโทรหาเขาที่โรงแรมใกล้ๆ เพราะมันน่าจะง่ายกว่าที่จะมารับผมที่นี่ แต่ฝนก็ตกหนักมาก ผมต้องรีบวิ่งกลับหาที่หลบฝนที่ใกล้ที่สุด – ในตู้โทรศัพท์ที่ประตูทางเข้าที่จอดรถที่ไหนสักแห่งทางทิศใต้ของสถานี ผมส่งข้อความไปหลายครั้ง และหลังจาก 45 นาทีที่พยายามหลีกเลี่ยงการเปียกโชก เทวดาของผมก็มารับ พวกเขาประหลาดใจกับพายุฝนพอๆ กับผม และบอกว่ามันเป็นพายุฝนกระหน่ำหนักที่สุดที่ได้ประสบมาในหลายปี