มันร้อน และเปียก และเหนียว …
สำหรับใครที่อายุมากพอคงจำได้ เคยมีสายการบินประจำชาติของเบลเยี่ยมชื่อซาเบนา ซึ่งอยู่ในธุรกิจมานานและเป็นหนึงในเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการปรับรูปลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น การแข่งขันที่ดุเดือด และหลายต่อหลายปัจจัย จนซาเบนาต้องปิดตัวลงในที่สุด แต่การเดินทางด้วยสายการบินนี้ในปี 1986 มันช่างยอดเยี่ยมและแปลกใหม่ยิ่งนัก จากโทรอนโตเราบินไปสนามบินแห่งชาติบรัสเซลส์ และเมื่อมองไปที่กระดานประกาศเส้นทางการบินเหล่านั้น อาบิดจัน ไนโรบี บามาโค แอลเจียร์ส คาซาบลังกา ชื่อเมืองหรูๆของบางประเทศในยุโรป ไหนจะยังเมืองต่างๆอีกจำนวนมากในเอเชีย รวมถึงเส้นทางชื่อแปลกๆที่น่าพิศวงเหล่านั้น คุณต้องอย่าลืมว่านี่คือผมเมื่ออายุเพียง 22 เดินทางจากทวีปอเมริกาเหนือมายังอีกฝากฝั่งทวีปอันห่างไกลและไม่เป็นที่รู้จักนัก ใช่ ผมเคยเดินทางมาก่อน แต่นั่นก็แค่ท่องเที่ยวในทวีปยุโรปและประเทศแคนาดา คราวนี้จึงเป็นประสบการณ์เอี่ยมอ่องถอดด้ามที่แปลกใหม่ของผม ถามใครก็ได้ถึงความรู้สึกเมื่ออยู่ในสนามบินเมื่อพวกเขาเดินทางต่างประเทศครั้งแรก มันมีบางอย่างที่ช่างงดงามและน่าลุ่มหลงเสียยิ่งกระไร และไม่ว่าใครจะบอกคุณว่าเกลียดสนามบิน แต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้เดินทางต่างประเทศ เราก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเบิกตาโพลงเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งกับการผจญภัยบนเส้นทางใหม่
ความรู้สึกของการผจญภัย …
ในขณะที่ผมกวาดตามองกระดานเส้นทางบินที่พลิกเปลี่ยนชื่อจุดหมายตลอดเวลานั้น ผมก็ได้เห็นชื่อ “กรุงเทพ” ในที่สุด ที่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ ผมจะต้องใช้เวลาอีกสิบสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย และเครื่องบินก็เป็นเครื่องที่เก่าแต่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี เช่นเดียวกับพนักงานบริการบนเครื่อง ไม่มีของแจกฟรีบนเครื่อง มีแค่อาหารและน้ำ ถ้าคุณอยากได้อย่างอื่นหรืออะไรที่แรงกว่านี้ เข็มหมุดหลากสีที่ปักบนหมอนเหนือที่พักศีรษะจะคอยเก็บรายการบริโภคและส่งบิลใหุ้คุณตอนเครื่องใกล้ลงจอด น่าเสียดายที่ไม่มีซาเบนาอีกแล้ว มันเป็นสายการบินที่ทำให้คุณรู้สึกได้ถึงมุมมองใหม่ๆ
โปรดพาผมกลับ …
สิบสี่ชั่วโมงหลังจากเคลื่อนตัวจากบรัสเซลส์ และในสภาพที่เหนื่อยและเมื่อย เครื่อง DC10 ก็ลงจอดในจุดหมายที่สนามบินที่ผมไม่รู้จะออกเสียงยังไงที่เรียกว่า สนามบินแห่งชาติดอนเมือง ณ กรุงเทพ เมืองที่ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลย ประเทศที่สุดแสนจะแปลกใหม่ต่อผม ไม่มีอะไรที่ผมจำได้ ไม่ว่าจะชื่อแปลกๆ ระยะทาง หรือสิ่งอื่นใด นอกจากมวลอากาศที่ร้อนระอุ และอากาศที่เหนียวเหนอะ แล้วก็กลิ่นคลื่นความร้อนที่กระทบจมูกในทันทีที่ประตูเครื่องเปิดออก คุณเคยมีประสบการณ์แรงกระทบจากอากาศและสภาพภูมิอากาศไหม
คิดดูสิคุณเดินทางจากบ้านเกิด (แคนาดาในสถานการณ์นี้) เก้าสิบหกชั่วโมงก่อนหน้านี้ กับอุณหภูมิต่ำกว่ายี่สิบองศา และมายังประเทศที่คุณเคยไปตอนช่วงวัยรุ่นคือเบลเยียม และก็มาถึงสถานที่ที่สิ่งแรกๆที่คุณสังเกตคือกลิ่นตลบอบอวล และบางอย่างที่ทำให้รู้สึกคล้ายกับผ้าขนหนูเปียกแปะทาบอยู่บนหน้า อุณหภูมิเมื่อมาถึงคือสามสิบห้าองศาเซลเซียส และสูงขึ้นและชื้น สามก้าวออกจากเครื่องและผมก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สิบก้าวไกลกว่านั้นผมแทบกราบกรานขอน้ำ และ อีกห้าก้าวผมแทบจะพร้อมถอดใจและคลานหาความสุขสบายและเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศบนเครื่องบินและร้องขอให้พวกเขาเอาผมกลับไปที
โชคดีที่มันเป็นแค่ทางเดินสั้นๆจากเครื่องบินไปยังโถงผู้โดยสารขาเข้า และสนามบินสมัยนั้นมีแค่ตึกผู้โดยสารขาเข้าและขาออกที่ถูกสร้างหรือไม่ก็ดูเหมือนสร้างมาแต่ยุคก่อน ด้วยการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวในทศวรรษที่เก้าสิบ สนามบินขยายใหญ่ขึ้น และเมื่อถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มันก็ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่ล้นทะลักมากรุงเทพฯ ทุกวันนี้ท่าอากาศยานดอนเมืองถูกแทนที่ด้วยสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ชื่อสุวรรณภูมิ ห้าสิบกิโลเมตรห่างออกไปอีกด้านของเมือง แต่กระนั้นท่าอากาศยานดอนเมืองยังคงเป็นสนามบินที่รองรับสายการบินภายในประเทศและสายการบินราคาประหยัดต่างๆ เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมเดินไปที่รับกระเป๋าสัมภาระ เหล่าสัมภาระวางเรียงบนสายพานอัดรวมไปด้วยกระเป๋าเดินทางประเภทต่างๆที่ส่งเสียงคล้ายคนบ่นด้วยความเจ็บปวดและเมื่อยล้า น่าตลกที่ผมสังเกตว่าเสียงหยุดลงในนาทีที่ผมยกกระเป๋าสัมภาระหนักเจ็ดสิบกิโลออกจากมัน อืม
ใครจะมารับผม?
ลากกระเป๋าจากสายพานเดินไปยังแผนกกงศุลนั้นไม่ได้แย่นัก อย่างน้อยเครื่องปรับอากาศก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดี มันน่าอายเล็กน้อยที่ต้องอธิบายถึงไม้เบสบอลและถุงมือที่ผมนำติดตัวมา แจ็คเก็ตหนังหนาๆ ก็ยิ่งทำให้พวกเขางงว่าฝรั่งคนนี่มันอะไรยังไงกันแน่ เมื่อไม่มีอะไรต้องสำแดง เป้าหมายต่อไปของผมคือมองหาคนหรืออาจจะมีหลายคนที่ต้องมารับผมที่ปากประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้า ผมไม่ได้รับใบแจ้งรายละเอียดอะไรเลย แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรยากนัก
ก็ที่ผมเกริ่นมานั่นแหละ สนามบินไม่ได้ใหญ่กว้างขวางอะไรนักในวันเวลานั้น และความจริงจุดผู้โดยสารขาเข้าก็แค่พื้นที่เปิดโล่งหน้าที่จอดรถ และเมื่อนั้นลมร้อนครั้งที่สองก็พัดกระทบมาวูบใหญ่ การเคลื่อนจากเครื่องบิน ไปยังด้านในของอาคารผู้โดยสาร ที่เย็นสบายและขั้นตอนของการดำเนินการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรทำให้ผมลืมสภาพอากาศร้อนชั่วร้ายข้างนอก ก้าวเท้าออกจากตึกสู่ความยุ่งเหยิงของสถานการณ์ด้านนอก ทั้งผู้คนกลุ่มใหญ่ที่ดูอัดยัดเยียด รถยนต์ แท็กซี่ รถโดยสาร มอเตอร์ไซต์ และการกระแทกจากลมร้อน อากาศที่ชื้น ทำให้ผมแย่ยิ่งกว่าตอนแรก โอ้ ห้องผู้โดยสารที่สะอาดและลมเย็นๆ … มันอยู่ที่ไหน
ท่ามกลางฝูงชนผมเห็นชายคนหนึ่งยืนออกท่าทางอยู่ สูง ผอม ผิวแทน ใส่แว่นกันแดด และผมหยิก เมื่อไม่มีฝรั่งตาน้ำข้าวคนอื่นอยู่แถวนั้น นี่ก็น่าจะเป็นไกด์ทัวร์ของเราในวันนี้ และหัวหน้างานของเราในอีกหลายปีข้างหน้า ไม่มีอะไรที่ผมจะจำได้มากไปกว่าการต้อนรับที่โถงผู้โดยสารขาเข้าข้างที่จอดรถมากไปกว่าประโยคที่ว่า
“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทย”