การขับรถเร็วและคืนหนึ่งในกรุงเทพฯ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมทิ้งพวกคุณค้างไว้ที่สนามบินดอนเมือง และกระชากอารมณ์ความต่อเนื่องอย่างรุนแรงด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับคำถามของคนไทยและเรื่องราวเหล่านั้น จริงๆมันไม่มีอะไรมากนักที่จะเล่าเกี่ยวกับการเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร อาจมีบ้างเรื่องสองเรื่อง เช่นเมื่อเราเคลื่อนตัวขึ้นทางด่วนแห่งใหม่ที่น่าตื่นตา ถนนวิภาวดีรังสิตปรับเป็นทางด่วนยกระดับแล้วเสร็จในยุค ต้นทศวรรษ 80 แล้วเราก็ขับบนทางด่วนนั้นได้อย่างสบาย ประสบการณ์ครั้งแรกของผมบนถนนของเอเซีย และผมก็อยากมีประสบการณ์เช่นนั้นมากขึ้น คิดดูสิ เร่งความเร็วได้ตามใจอยาก ไม่มีสัญญาณไฟ ไม่มีตำรวจทางหลวงมาจับหรือแจกใบปรับคุณ และนี่กระมังทำไมกรุงเทพถึงมีรถติด ก็เพื่อจะบังคับไม่ให้ขับได้เร็วเกินอีกต่อไป
มันไม่ได้เป็นตามที่พวกเขาบอกว่ามันจะเป็น …
สามสิบชั่วโมงกว่าแล้วตั้งแต่ผมหลับครั้งสุดท้าย ดังนั้นการเดินทางทั้งหมดจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการเห็นภาพต่างๆเคลื่อนผ่านอย่างเร็วขณะรถขับไปบนทางด่วน เราขับผ่านตึกรามบ้านช่อง ชุมชนแออัด วัดวาอารามที่สวยงามวิจิตรา และในที่สุดก็เข้าสู่ใจกลางเมือง ลงจากทางด่วนและขับต่อไปบนถนนปกติ ซึ่งทุกอย่างเคลื่อนที่ช้าลงเหมือนแทบจะคลาน กระดึ้บๆไปตามเส้นทาง การเคลื่อนตัวอย่างไม่ติดขัดจากสนามบินกลายเป็นเพียงความทรงจำ ระดับความเร็วลดลงเหลือเพียงสิบเอ็ดกิโลต่อชั่วโมง ตึกที่สูงที่สุดที่ผมสังเกตเห็นคือตึกใบหยกทาวเวอร์ 1 และตึกโรงแรมดุสิตธานีบนหัวมุมถนนสีลมตัดกับถนนพระรามสี่ยังเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดในเมือง ไม่มีตึกสำนักงานใหญ่ๆ ไม่มีตึกระฟ้าใดๆ และแน่นอนมีห้างสรรพสินค้าเพียงไม่กี่แห่ง ทุกอย่างถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างมากและรวดเร็วในช่วงยุค ทศวรรษ 90 แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวสำหรับวันอื่น จำได้ไหมที่ผมเกริ่นถึงช่วงที่ผมเข้ารับการอบรมที่ออตตาวาที่เราถูกป้อนข้อมูลเกี่ยวผ้าขาวม้าและโสร่ง ยังไงน่ะหรือ ตั้งแต่เราเคลื่อนตัวอย่างช้าๆจากถนนพระรามสี่เพื่อเลี้ยวเข้าถนนสาธร ผู้คนเดินกันขวักไขว่แต่ผมยังไม่เห็นใครใส่ชุดที่พวกเขาบอกผมตอนอบรมว่ามันเป็นชุดที่คนประเทศนี้สวมใส่กัน สิ่งที่ได้รับการบอกเล่าช่างแตกต่างจากความเป็นจริง เลี้ยวซ้ายขับไปตามถนนสาธร ผมเห็นบ้านเรือนแบบสมัยเก่าตั้งเรียงตัวต่อกันเป็นทอด บ้านของคนที่มีฐานะ บ้านเหล่านั้นเหมือนกับอีกหลายสิ่งหลายประการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางสถาปัตยกรรมถูกทำลายในช่วงระหว่างยุค 1990 เพื่อหลีกทางสำหรับอาคารขนาดใหญ่ น่าเสียดายที่บ้านเรือนสวยงามเหล่านั้นเหลือให้เห็นเพียงแค่ไม่กี่หลังในปัจจุบัน หนึ่งในจำนวนบ้านสถาปัตยกรรมยุคเก่าคือภัตตาคารเดอะบลูเอเลเฟ่นหน้าตึกหอการค้าไทยจีนใกล้สะพานตากสิน
ราวบ่ายสองผมได้รับกุญแจห้องและเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่ผมพัก ทันทีที่ผมกำลังจะหลับตาลงหลังอาหารกลางวันจานด่วน เพื่อนผู้หวังดีก็โผล่เข้ามาบอกว่าเขาจะมารับพวกเราตอนหกโมงเย็นเพื่อพาชมเมือง พูดไปพร้อมกับรอยยิ้มเผื่อนๆ หกโมงเย็นมาถึงเร็วกว่าใจปรารถนา และเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ผมก็แทบหวังว่าผมจะสามารถพลิกตัวหลับต่อและเพิกเฉยกับเสียงรบกวนหลังบานประตูนั้น แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเสียงเคาะเริ่มดังขึ้น ผ่านไปหลายนาทีกว่าผมจะสามารถดึงสติและสมองให้กลับมาอีกครั้ง ผมกลิ้งตลบม้วนตัวไปมาบนเตียงก่อนจะลุกเดินอย่างงัวเงียไปห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย อาบน้ำ แต่งตัว แล้วก็พร้อมที่จะเหงื่อโทรมตัวอีกรอบ ผมเดินลงไปที่ล็อปบี้เพื่อรอกลุ่มที่มาสมทบ ทีมงานเจ็ดคนและพวกเราอีกห้าคน
คืนแรกมันเบลอหลัง 4 ทุ่ม
สิ่งที่ตามมานี้เหมาะกับผู้ชมที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าคุณอายุต่ำกว่าสิบแปดเลิกอ่านได้เลย ….. ไม่เป็นไร อ่านต่อไปเถอะ เพลงจากวงโอเปร่าร็อค เชส ถูกแบนในประเทศ จำชื่อได้หรือไม่? “One Night in Bangkok” ค่ำคืนหนึ่งในกรุงเทพฯ แทบจะบอกได้ทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองนี้ จากดินเนอร์ที่ภัตตาคารโฮล์เอิร์ธบนถนนหลังสวน เราไปดื่มกันต่อที่ถนนสารสิน หลังจากนั้นสติก็เบลอ ผมจำอะไรไม่ได้มากนัก เราได้ถูกพาชมเมืองและสีสันแห่งค่ำคืนเมืองฟ้าอมร ตั้งแต่ดิสโก้ระดับหรูไปจนถึงบาร์เล็กๆในซอย ผมจำได้ว่ารถตุ๊กตุ๊กขับพาเราไปตามตรอกแคบๆแล้วชีวิตเราก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เราจะได้ไปสถานที่ที่น่าฉงนงงงวยที่สุดในกรุงเทพ ตามที่ได้รับสัญญาว่าจะพาเราไป พวกเราตะลุยแสงสีและชีวิตกรุงเทพยามค่ำคืน มันเป็นคืนที่ดึกมาก “บางที่ซึ่งเราจะสามารถอยู่จนถึงเช้า หรือจนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้” พวกเขาบอกเช่นนั้น ทางเข้าบอกบางอย่างได้เกี่ยวกับสถานที่ คุณต้องก้มและมุดตัวเข้าไปเพราะประตูทางเข้าสูงเพียงเมตรกว่าๆ มันดูเหมือนบาร์ในสตาร์วอร์ภาคสองที่เต็มไปด้วยสารพัดเผ่าพันธุ์บุคลิกประหลาดของตัวละคร
โฉมใหม่ที่ทันสมัยกว่า แต่ …
กรุงเทพสูญเสียสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาหรือ ไม่หรอก หลายชื่ออาจเปลี่ยนไป ถนนและตรอกซอกซอยต่างๆถูกปรับโฉมพัฒนา ในขณะที่อีกหลายพื้นที่กลายเป็นแหล่งฮิตใหม่ๆของเมือง เมื่อเมืองขยายใหญ่ขึ้น พื้นที่ใหม่ๆก็ได้รับการเพิ่มเข้ามา เช่น ทองหล่อ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยในยุค 1980 กลับกลายเป็นหนึ่งในแหล่งใจกลางเมืองสุดหรูที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ในขณะที่หลังสวนเริ่มซบเซาลงและถูดเบียดบังด้วยอสังหาฯขนาดใหญ่ พื้นที่แถวสยามสแควร์คลาคล่ำไปด้วยร้านรวงเล็กๆที่แทรกตัวอยู่ตามซอย โรงภาพยนตร์ และร้านค้าเล็กๆอีกมากมาย ข้ามไปอีกฝั่งถนนเป็นห้างใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จชื่อ สยามเซ็นเตอร์ สถานที่ช็อปปิ้งเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นนำระดับโลกหรือแบรนด์จากดีไซเนอร์ดังของไทย ยังไม่มีห้างดิสคัฟเวอรี พารากอน เซ็นทรัลเวิร์ลด์ จะว่าไปแล้ว ความจริงก็ไม่มีตึกใหญ่โตโอฬาร ที่ไม่มีอะไรนอกจากห้างที่ต่อตัวกันเป็นทอดไปตลอดแนวถนนจากสยามไปจนถึงเส้นถนนวิทยุ หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่นั้นมา แต่ในเวลาเดียวกันหลายอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ผมพูดได้แค่เพียงว่าหลังจากเปิดโลกทัศน์ตะลุยเที่ยวกรุงเทพฯกับไกด์ที่ชำนาญในคืนนั้น ผมดีใจที่วันถัดมาคือวันอาทิตย์ที่ผมจะได้พักจริงๆเสียที