แม่โขงเปล่งเสียง????
หลังจากมาถึงได้สองสามวัน หนึ่งในมือเก๋าผู้ชำนาญรับอาสามารับผมได้ดูสถานที่ทำงานในอนาคต ร้อยกิโลจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันตก มันเป็นการต้อนรับที่ทำให้ปลอดโปร่งใจเป็นอย่างยิ่งที่สุดที่จะได้ออกจากเมืองเสียที การจราจรที่ติดขัด มลพิษความร้อนอบอ้าว ทุกอย่างเกินจะทนต่อไป ผมอยากจะได้สัมผัสบรรยากาศหรือได้เห็นทัศนียภาพแถบริมฝั่งน้ำหรือไร่ในชนบทบ้าง นี่คือที่ๆรุ่นพี่ของผมใช้เวลาในหนึ่งปีที่ผ่านมาให้บริการช่วยเหลือพวกชาวไร่ด้วยการเป็นสัตวแพทย์ และนี่คือสถานที่ที่ผมจะใช้เวลาสองปีของสัญญาการจ้างงานทำงานร่วมกับชาวฟาร์มโคนม เป็นสัปดาห์ที่ผมเดินทางอย่างมาก และการแนะนำตัวต่อผู้คนที่ถ้าไม่ทำให้ผมแกร่งขึ้นก็ร่วงลงเหวในอีกสองปีข้างหน้า ที่พักกว้างและโอ่โถงทีเดียว บ้านสองชั้นพร้อมพื้นที่ใช้สอยอย่างกว้างขวาง แต่พวกเราพักอยู่ร่วมกันราวสิบคน และมีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึงก็คือเพื่อนรุ่นพี่ชาวแคนาดาของผมนั่นเอง การสื่อสาร กับคนที่เหลือในบ้านก็ผิดๆ ถูก ๆ และส่วนใหญ่ก็มักจะผิด
ไม่ต้องกังวลเรื่องไวยากรณ์…แค่พยายามที่จะพูด
คนไทยส่วนใหญ่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาบ้าง ไม่ว่าจะระดับประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ความผิดพลาดประการเดียวคือใช้เวลาในการพยายามที่จะเน้นให้เด็กนักเรียนเก่งด้านไวยากรณ์ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้พวกเขานำมาใช้สื่อสารได้ในชีวิตจริง เพราะมัวแต่มุ่งเน้นไปกับการหารูปประโยคที่ไวยากรณ์ถูกต้องสมบูรณ์ จะว่าไปแล้วเมื่อพูดถึงเรื่องไวยากรณ์ ผมเชื่อว่าเด็กไทยเก่งไม่แพ้เจ้าของภาษา แต่เมื่อมาถึงจุดที่ต้องพูดสื่อสารกันจริงๆ คุณจะสามารถมองเห็นความวิตกผุดขึ้นมาทันทีบนใบหน้าของพวกเขา ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสอนภาษา ถึงแม้ผมจะสามารถพูดได้หลายภาษาก็ตาม แต่มีหลายเหตุผลที่ผมไม่คิดว่าการเน้นไวยากรณ์เป็นวิธีที่ถูกต้องที่จะสอนใครให้สื่อสารได้ การสื่อสารควรมาจากการลองผิดลองถูก ไม่ใช่การรู้ว่าจะต้องใช้คำรูปแบบไหนหรือคำกริยาใด อย่างไรก็ดี มีวิธีที่จะทำให้คนพูด และผมก็ได้ยินเดี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดในช่วงหลายวันที่ผ่านมากับคำพูดที่ว่า “แม่โขงเปล่งเสียง” ผมรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับวิธีการพูดที่คล่องแคล่วนี้มาก และการที่มันสามารถทำให้คนกล้าเปิดใจและพูด และสื่อสารอย่างไม่หวั่นวิตกแต่อย่างใด ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นอย่างไรในสัปดาห์ที่ผมเริ่มทำงานที่สำนักงานใหม่ของผม
ขับรถจักรยานยนต์ในชนบท
การต้อนรับ ครึกครื้นไม่ต่างจากการต้อนรับที่กรุงเทพฯตอนมาถึงเมืองไทย ผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์รุ่นพี่สัตว์แพทย์ของผมไปเที่ยวชมฟาร์มแถบนั้น หรือไม่ก็มอเตอร์ไซต์คันอื่นซึ่งขับขี่โดยเพื่อนร่วมงานในอนาคตของผม ออกไปยังชนบทเพื่อเยี่ยมสมาชิกสหกรณ์โคนมหนองโพ ซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนสมาชิกสองพันห้าร้อยคน และพวกเราจะไปเยี่ยมพวกเขาราวสี่ถึงห้ารายต่อวันโดยประมาณ นอกเหนือจากงานเอกสารและอะไรอื่นๆที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จในสำนักงานในแต่ละวัน หลังจากวันที่ยาวนานและแสนร้อน พอผมกลับมาถึงบ้านผม มักจะเจอเพื่อนชาวคานาดาของผมอีกสองคนกำลังพูดคุย สังสรรค์เรื่องจิปาถะกับเพื่อนร่วมงาน และผมก็กระโจนเข้าร่วมสนทนาด้วยทันที
ในคืนแรกนั้นผมเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่ แค่นั่งฟัง พร้อมรอยยิ้มซื่อๆแปะอยู่บนใบหน้าของผม และพยักหน้าเหมือนเข้าใจทุกครั้งที่ใครบางคนถามคำถามหรือดูเหมือนจะแสดงความเห็นซึ่งต้องการคำตอบ ทุกครั้งที่มีเสียงหัวเราะ แก้วเหล้าก็จะถูกยกขึ้น และพูด “เชียร์” ทุกครั้ง แอลกอฮอล์สารพัดชนิด รวมถึงเบียร์ ในตอนนั้นยังมีแค่เบียร์ท้องถิ่น เหล้ารัม และวิสกี้ ผมเรียนรู้บทเรียนอย่างจดจำไปชั่วชีวิตเลยว่ามันไม่ฉลาดเลยที่กินเหล้าสามอย่างผสมกันในคืนเดียว เพราะเช้าตรู่มาถึงอย่างรวดเร็ว และความร้อนระหว่างวันจะทำให้เหนื่อยจนหมดแรง ต้นสัปดาห์ผ่านไป และใกล้จะถึงสุดสัปดาห์ที่จะสังสรรค์กันเช่นเคยในเย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน คืนนี้จัดเต็มกว่าทุกครั้ง ทั้งอาหาร ทั้งเครื่องดื่ม เต็มพิกัดมากกว่าครั้งอื่นๆ ผมน่าจะดื่มแอลกอฮอล์ในอาทิตย์นั้นมากกว่าที่ผมเคยดื่มมาตลอดหกเดือน ก่อนหน้านั้นแต่พอมาคิดการได้รู้จักเพื่อนหน้าใหม่ๆ รู้จักเรื่องราวชีวิตทั่วไปเกี่ยวกับเมืองไทยมากขึ้น มันถือว่าเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ายิ่งนัก และอาทิตย์ถัดไป ผมจะต้องย้ายไปที่อื่น ซึ่งในที่แห่งใหม่ จะไม่มีการสังสรรค์เท่าที่นี่แน่นอน ไหนจะต้องเรียนภาษา… เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาอย่างชาญฉลาด
(แม่)โขงพูดได้จริงๆ
คืนวันศุกร์ และหลังจากหนึ่งอาทิตย์แห่งการสังเกตและฟังสิ่งที่สำหรับผมมันเหมือนภาษาประหลาดที่จับใจความไม่ได้มากนัก ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะผ่อนคลายมากกว่าเดิม ผมอยากจะมีส่วนร่วมในบทสนทนามากขึ้น และเมื่อเหล้าเข้าปาก การสนทนาก็ดูเหมือนจะลื่นไหลได้คล่องขึ้น แม้ว่าไวยากรณ์จะหลอน ศัพท์แสงจากเพื่อนที่แสนตลกของผมจะพรั่งพรูหลากหลาย แต่ก็เหมือนเราจะสามารถสื่อสารกันได้ในที่สุด หรือไม่ก็ผลจากเหล้าที่ทำให้สมองเราชุ่มโชกจนสามารถแปลสิ่งต่างๆได้ตามที่มันสมควรจะเป็น น่าแปลกใจยิ่งที่ในที่สุดมันก็ทำให้ผมเข้าใจได้ถึงที่มาของความหมายที่ผมได้รับการบอกมาก่อนหน้านี้ “แม่โขงเปล่งคำ” มันไม่ได้เกี่ยวกับแม่น้ำโขงเลยสักนิด ถึงแม้ว่าบทสนทนาเรื่อยเปื่อยในช่วงต้นอาทิตย์จะกลายเป็นความพรั่งพรูเมื่อถึงคืนวันศุกร์ แต่ในทางกลับกัน ผลลัพธ์มาจากสายน้ำที่ต่างกัน น้ำสุราภายใต้ชื่อแม่โขงเปลี่ยนพฤติกรรมพวกเราให้ลื่นไหล และขุมคลังคำศัพท์ภาษาอังกฤษก็ถูกกลืนไปกับความหมายและคำพุดที่คล่องแคล่ว ผมรู้สึกได้จริงๆว่าคืนนั้นผมทำได้ดี แล้วพวกเราก็สื่อสารกันได้จริงๆ นี่จะเป็นเรื่องง่ายอย่างแน่นอนหรือไม่ผมก็คิดเช่นนั้น ถูกหลอกละ ไปที่ไหนนอกประเทศ ไปยังที่ที่ไม่ได้พูดภาษาของคุณเอง แล้วถ้าใครบอกคุณว่าพวกเขาพูดได้อย่างคล่องแคล่วภายในสามเดือน พวกเขาหลอกคุณแน่ แม้ว่าคืนวันศุกร์ที่เราพบปะกันจะผ่านไปอย่างดี และพวกเราก็เข้ากันได้และดูเหมือนจะสื่อสารกันได้มากขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ มันไม่ได้มาจากศักยภาพทางการศึกษาแต่อย่างใด ง่ายๆเลย การเปล่งภาษาสื่อสารกันในแบบฉบับแม่โขงต่างหาก