จับเปลือย ในเวเนซุเอลา
ผมมีบทเรียนแล้ว เราทุกคนล้วนเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง หรืออย่างน้อยผมก็หวังเช่นนั้น ผมได้ที่นั่งสุดสบายบนรถทัวร์ มีฮู้ดแจ็คเก็ตอยู่ข้างตัว ใส่เสื้อแขนยาวตัวในพร้อมสวมแจ็คเก็ตทับอีกชั้น แบ็ตมือถือชาร์จเต็ม เก็บไว้อย่างดีพร้อมปิดเครื่อง การเดินทางคืนนี้ยาวนานถึงสิบสี่ชั่วโมง แต่ผมได้เตรียมตัวอย่างพร้อมด้วยน้ำดื่ม ของกินเล่น หนังสือด็องเตดีวายน์คอมเมอดี และความตั้งใจว่าจะหลับยาวตลอดคืน เงินปึกใหญ่เก็บไว้ในกระเป๋าที่ใช้ระหว่างวันที่ตอนนี้ใช้เป็นที่พักแขนหรือจะเป็นหมอนก็แล้วแต่ว่าผมจะยืดตัวและนอนท่าไหน ผมนับเวลา ออกจากท่ารถหกโมงเย็น บวกไปอีกสิบสี่ชั่วโมง ถึงที่หมายแปดโมงเช้า โอเคนะ แค่หนึ่งชั่วโมงเกินจากตารางเวลา พอรับได้อยู่
ไม่มีอะไรให้ดูมากนักจากนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟบ้างเป็นบางครั้งเมื่อเราอยู่บนไฮย์เวย์ ผมสังเกตเห็นตึกรามบ้านช่องจุดโน้นจุดนี้บ้าง เมืองที่ดูแปลกตา การเคลื่อนตัวที่ใกล้เข้ามา แต่กลับไม่มีอะไรน่าสนใจ และมืดเกินกว่าที่จะมองเห็นอะไรได้ในระยะไกล ผมค่อยๆเข้าสู่ภวังค์กับการกระแทกอย่างนุ่มนวลของรถทัวร์ในขณะเคลื่อนตัวให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในเปลเด็ก
หายใจลึก ๆ และจงสงบ …
มันเป็นเวลาเที่ยงคืนตอนรถหยุด และไม่เหมือนกับการหยุดในครั้งก่อนๆ บางอย่างแตกต่างกว่าครั้งอื่นๆที่ผ่านมา แล้วผู้โดยสารก็เริ่มตื่นและมองออกไปนอกหน้าต่างว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นอะไรชัดมากนักจนกระทั่งคนในเครื่องแบบเดินขึ้นมาและผู้โดยสารก็ค่อยๆเริ่มลุกขึ้นยืนและก้าวลงจากรถ ในทันทีที่ก้าวสุดท้ายของผมแตะพื้น มีมือยื่นมาขอตรวจพาสสปอร์ตของผม มองรูปผมในพาสสปอร์ตแว่บหนึ่งแล้วก็โบกมือให้ผมผ่านไป มีการเคลื่อนไหวที่ท้ายรถ กระเป๋าสัมภาระทั้งหมดถูกดึงออกจากช่องเก็บของ ผู้โดยสารแต่ละคนระบุสัมภาระของตนเอง นี่เองสินะ ที่บล็อกต่างๆเขียนถึง หรือบล็อกที่กล้าเขียนเล่าเรื่องน่ากลัวเหล่านี้ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆ และสัญญากับตัวเองว่ามันเป็นแค่ประสบการณ์อย่างหนึ่ง ยิ้มเข้าไว้ ไม่ต้องตื่นพะวงอะไร เล่นไปตามน้ำ เมื่อระบุสัมภาระเสร็จ พวกเราถูกชี้ให้ไปยังตึกเล็กๆข้างที่จอดรถ ไฟเปิดสว่าง และเมื่อมองผ่านกระจกบานใหญ่ ผมเห็นโต๊ะขนาดใหญ่หลายตัวและเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรออยู่ ผู้โดยสารทั้งหมดมาถึงตึกและถูกสั่งให้เอากระเป๋าวางบนโต๊ะและเปิดมันออก เริ่มมีการตรวจค้น ก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ไม่วุ่นวายหรือยุ่งยาก
มีมือมาแตะแขนผมแล้วออกคำสั่ง “มาทางนี้” ผมมองไปรอบๆ มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ถูกเรียก บุคคลนอกคอกเพียงคนเดียวในรถทัวร์ และถึงเพียงผมจะมีผิวสีแทนกว่านี้สักหน่อย ความสูงของผมก็ไม่มีทางจะหลบเลี่ยงได้อยู่ดี ผมถูกนำตัวไปยังอีกห้องโดยตำรวจสองคน ประตูหนึ่งบาน ไฟหนึ่งหลอด กับโต๊ะขนาดใหญ่หนึ่งตัว แล้วประตูก็ถูกปิดตามหลัง ถูกทิ้งอย่างลำพัง ผมเอากระเป๋าสัมภาระวางบนโต๊ะและยืนรอ ประตูเปิดขึ้นอีกครั้ง ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามา ฟาดอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นเสาอากาศวิทยุจากรถลงที่ขาของเขา ท่าทางที่ขัดตาเกือบจะทำให้ผมอมยิ้ม
การสอบปากคำ …
“Habla espanol?”
“หือ ผมไม่เข้าใจ” ไม่มีทางหรอกที่ผมจะหลุดพูดภาษาสเปนสองสามคำ ออกไป ถ้าพวกเขาจะสอบปากคำผม ก็ต้องถามด้วยภาษาอังกฤษนะ โอ้ ระวังเวลาคุณคาดหวังอะไร เขาหันกลับไปแล้วเปิดประตูในขณะที่ผมรูดซิปกระเป๋าสัมภาระ มีการสนทนาสั้นๆ เขาหันกลับมาใหม่แล้วเริ่มค้นกระเป๋าของผม ข้าวของทุกชิ้นถูกแกะ ห่อถูกรื้อออก ตรวจค้นทุกสิ่งทุกอย่าง เสียงเคาะประตูดังขึ้น มีเสียงใหม่แทรกเข้ามา รอบนี้เป็นเสียงผู้หญิง ถามคำถามเหมือนเดิม
“Habla espanol?”
ผมยักไหล่แล้วมองกลับไปอย่างโง่ๆ เธอยักไหล่ หันไปรอบๆและเดินกลับไปยังตำรวจในห้อง เขาเดินไปหาเธอและรับโทรศัพท์มือถือมา ประตูปิดลง ตำรวจเดินเข้ามาหาผม เขากดปุ่มต่างๆ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จกับอะไรก็ตามที่เขาพยายามทำอยู่ ผมมองข้ามไหล่ของเขาไปแล้วจึงเห็นว่าเขาพยายามจะใช้แอพกูเกิลแปลคำนั่นเอง ผมยืนเงียบอยู่สักพัก ให้เขางงงวยกับเทคโนโลยีนั่นต่อไป โปรแกรมเป็นเพื่อนที่สุดยอดของผมตั้งแต่ผมมาถึงทวีปอเมริกาใต้ และผมสามารถติดตั้งและควบคุมเจ้าโปรแกรมนั่นได้แม้แต่ในขณะหลับ
ความอดทนของผมดีมาก แต่ก็สิ้นสุดลงในที่สุด ผมค่อยๆเอื้อมมือไปกดปุ่มที่เขาต้องการ เขาเริ่มพิมพ์ ผมอ่านตามภาษาสเปนที่เขาพิมพ์ ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไรก่อนที่เขาจะสัมผัสปุ่มแปลภาษานั่นด้วยซ้ำ ผมมีเวลาสองสามวินาทีที่จะค่อยๆตัดสินใจว่าควรแสดงท่าทีอย่างไรกับคำถามเหล่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากคำถามทั่วๆไป
“คุณมาจากไหน”
“คุณกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหน”
“ทำไมคุณอยู่ในเวเนซูเอลา”
“คุณรู้จักใครในเวเนซูเอลามั้ย”
“คุณเดินทางมาจากไหนก่อนหน้านี้”
“คุณจะไปไหนต่อหลังจากเวเนซูเอลา”
ในขณะที่ผมตอบแต่ละคำถามอย่างสงบและไม่ลังเล เขาก็เริ่มงงงวยกับความสงบแบบไม่แคร์โลกของผม “ผมต้องตรวจค้นทรัพย์สินของคุณเพื่อหายาเสพติด คุณพกพายาเสพติดอะไรเข้าประเทศมาหรือเปล่า” เฮ้ย ตามสบายเลย อยากเช็คอะไรก็เอาเลย ไม่มียาเสพติดในกระเป๋าของผมอย่างแน่นอน และถึงจะมี ผมก็ไม่มีวันบอกคุณหรอก เขาทำการตรวจค้นต่อ กระเป๋าพกพาของผมเป็นรายการต่อไป อย่างช้าๆ เขาค่อยๆเลื่อนซิปเปิดแล้วดึงกระดาษล้ำค่าออกมา ตั้งเด่นเป็นสง่า ปึกเงินโบลิวาร์ ล่อนจ้อน ภายใต้หลอดไฟสว่างจ้า สะท้อนแสงเงาวาววับและกราบกรานให้หยิบไป
เปลื้อง…!
กวาดตามองครั้งสุดท้ายที่กองข้าวของจากสองกระเป๋าที่วางกระจัดกระจายเกลื่อนโต๊ะ เขาหันกลับมาที่มือถือ รอบนี้ผมไม่เห็นว่าเขากำลังพิมพ์อะไร ผมว่าแว่บหนึ่งผมเห็นรอยยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ แต่ผมอาจเข้าใจผิดก็เป็นได้ หลังจากเงียบชะงักไปสักพัก เขายื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้ผม ผมอ่านคำแปลบนหน้าจอ ผมเงยหน้ามองเขา “นี่คุณพูดจริงรึ” หน้าตาผมออกอาการ เขาจ้องหน้าผมชั่วครู่ และพยักหน้า “ได้” ผมคิด “คุณพยายามจี้จุดผม แต่อย่างไรผมก็จะไม่ออกอาการตามที่คุณหวังที่จะเห็นหรอก
ผมทำตามคำสั่งในข้อความนั้น
“ถอดเสื้อผ้าของคุณออก”
ผมถอดเสื้อออก รองเท้าและถุงเท้า ปลดเข็มขัดและถอดกางเกงกองอยู่ปลายเท้า ยืนเปลือยเปล่ามีเพียงกางเกงในที่เหลือติดตัว ผมมองที่เขาอย่างสงบ หลังจากรีรอไปชั่วขณะ เขาบอก “ถอดให้หมด” ค่อยๆถอดปราการด่านสุดท้าย ผมจ้องหน้าเขาอีกครั้ง ไม่ว่ามันจะเป็นเสียงแห่งความพอใจหรืออับอาย แต่ดูเหมือนหน้าของเขาจะเริ่มแดงเมื่อเขาตัดสินใจกับคำสั่งสุดท้ายบอกให้ผมยองตัว
เขาไม่สนใจที่จะเสียเวลามองด้วยซ้ำ เขาแค่กร่นเสียงและบอกให้ผมใส่เสื้อผ้าซะ ผมแต่งตัวและมองเขาค่อยๆเแพ็คข้าวของทั้งหมดของผมใส่กลับลงกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ผมเฝ้าดูอยู่สักพัก จนทันใดนั้นเสียงแตรของรถทัวร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ และทำให้เขารีบผลักประตูออกไป ตบข้างตัวรถและตะโกนบอกให้คนขับหยุดและรอ ผมเดาว่าคนขับเริ่มจะหมดความอดทนและทำให้เขาเลิกที่จะตรวจค้นสัมภาระของผม เขากลับเข้ามาอย่างรีบเร่ง สั่งให้ผมรีบจัดการกับกระเป๋าแล้วออกมา ผมยัดของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า รูดซิปเหวี่ยงขึ้นสะพายหลัง ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านประตูที่เปิดรออยู่ มีมือหนึ่งยื่นออกมา พร้อมคำพูดภาษาอังกฤษที่ไม่มีสำเนียงเพี้ยนเลย
“ขอบคุณ และราตรีสวัสดิ์”