บล็อก: 6 เดือนกับข้อมูลและความบันเทิง
วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ตั้งแต่บล็อกแรกที่อัพโหลดเมื่อหกเดือนก่อนจนถึงปัจจุบัน ความตั้งใจทำโปรเจคท์นี้เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ผมมีความมุ่งมั่นผลิตงานเขียนต่อไปทุกอาทิตย์ สองบันทึกความทรงจำต่างเส้นทาง การท่องเที่ยวทั่วทวีปอเมริกาใต้และประสบการณ์การทำงานในประเทศไทย
มองย้อนกลับไปช่วงแรกที่เริ่มเขียนบล็อก ผมสงสัยตัวเองว่าเอาพลังมาจากไหนกัน บล็อกเกอร์คนอื่นๆก็คงเหมือนผม เขียนสองตอนต่ออาทิตย์ไม่น่าจะยุ่งยากอะไรนัก คงไม่ต่างจากนักศึกษาที่เขียนเรียงความสองพันคำส่งอาจารย์ แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ยิ่งคุณมีงานประจำที่หนักหน่วง ไหนจะการใช้ชีวิตและงานสังคม (ยังดีมีเพื่อนคบ) และมักจะมายุ่งตอนที่ผมมีอารมณ์อยากจะเขียน แล้วการเขียนบล็อกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะต้องเรียบเรียงเหตุการณ์ ชื่อ และสถานที่ต่างๆ สารพัดข้อมูลที่ต้องจดจำ และบางครั้งยังต้องตรวจสอบค้นหาข้อมูลเพิ่ม ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างมาก ผมเหลือบดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และเห็นสายที่ไม่ได้รับ รวมทั้งข้อความที่อัดทะลักอยู่ในอินบ็อกซ์ที่ยังไม่มีเวลาเช็ค… แต่การเขียนก็เสมือนเป็นรางวัล การเดินทางสู่ห้วงเวลาในอดีตและดึงมันให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความทรงจำอันสวยงามที่ได้มีโอกาสระลึกถึง แม้จะบันทึกลงกระดาษ หรือบนดิจิตอลไร้ตัวตนก็ไม่อาจทดแทนได้
การเดินทางและความเกียจคร้าน
ผมย้อนกลับไปอ่านบล็อกตอนแรกๆ และจำที่พูดได้ว่าผมจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ฟิตเนส การเดินทาง และเรื่องราวที่สนุกสนาน ผมเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไปพอสมควร และหวังว่ามันจะน่าสนใจ ถึงแม้บางทีอาจจะเน้นข้อมูลมากไปนิด แต่ผมกล้าพอที่จะพูดได้ว่า มันให้ความบันเทิงได้บ้างไม่มากก็น้อย ความตั้งใจแรกเริ่มเดิมทีของผมคือการสร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันให้คนในช่วงอายุ 40-50 ปี เกิดความสนใจออกไปผจญภัยในโลกกว้างและกระฉับกระเฉงขึ้น เปิดโลกทัศน์ ท่องเที่ยว เปลี่ยนแปลงชีวิต และสนุกกับมัน แทนที่จะหยุดนิ่ง เก็บตัวจมปลัก และย่ำอยู่กับวิถีชีวิตเดิมๆจนอายุ 60 นั่นยังเป็นความตั้งใจหลักของผมอยู่แต่อย่างที่ผมได้เคยกล่าว ผมไม่ใช่ไลฟ์โค้ช หรือนักพูดสร้างแรงบันดาลใจไม่มีทางที่ผมจะส่งเสียงตะโกนกู่ก้องจากหลังคา ผมแค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ของผมและหวังว่าผู้อ่านจะรู้สึกมีส่วนร่วม กระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วไปต่อ กล้าทำอะไรใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น และแตกต่างจากวิถีเดิมๆที่จำเจ ได้เปิดหู เปิดตา ลิ้มลองประสบการณ์เชิงบวก สนุกกับการผจญภัย หรืออย่างน้อยได้เดินทางท่องเที่ยวต่างถิ่นต่างเมืองไปสู่อีกมุมโลก ชีวิตมีอะไรมากกว่าเซ็กซ์ท่าจำเจ และแน่นอนควรมีความน่าสนใจมากกว่าการนั่งจมปลักบนโซฟาจนรากงอก
กลืนน้ำลาย
ผมเคยบอกว่าผมเกลียดการไปยิมออกกำลังกาย และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมทำประจำ แต่ผมก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะผมเริ่มเข้ายิมมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่ความตั้งใจเปลี่ยนแปลงตนเองจากลิสต์ปีใหม่ แต่เพราะผมเบื่อชีวิตที่เอาแต่นั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ของผมเอง ผมเริ่มเข้ายิมที่คอนโด เดินบนเครื่องประมาณ 5-6 กิโลทุกวันหรือทุกสองวัน จากนั้นก็กลายเป็นเข้าร่วมวิ่งมาราธอน เพราะเพื่อนยุว่าการวิ่ง 10.5 กิโลนั้นขี้ปะติ๋วมาก (เขาอายุแค่ 41 แต่ผมห้าสิบกว่า) มันแทบจะเกินกำลังวังชาของผม แต่ผมก็สามารถทำได้สำเร็จในที่สุด (ถึงแม้แทบรากเลือดเลยก็ตาม)
เมื่อเริ่มกลายเป็นหนึ่งในใบหน้าที่คุ้นเคย ผมก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมคนพวกนั้นถึงชอบมาออกกำลังกายกันเป็นประจำ ไม่ต่างจากลัทธิหรืออะไรเทือกนั้น เหมือนเข้าร่วมกิจกรรมทางกีฬา เพราะพวกเขากำลังแข่งขันกัน แข่งกับตัวเอง แข่งกับคนอื่น มนุษย์ล้วนชอบการแข่งขันและเอาชนะ แต่ที่สำคัญสุดคือการผลักดันตัวเองให้ถึงจุดสูงสุด (ไม่ต่างจากพวกหลงตัวเอง แต่ผมขอไม่ต่อประเด็นนี้) แล้วมันเหมือนจะดีได้สักพัก ตัวผมเองก็ตกอยู่ในวังวนการแข่งขันนั้นเช่นกัน แต่ในที่สุดผมก็ได้ตระหนักว่า มันไม่สลักสำคัญและไม่มีความจำเป็นจะต้องผลักดันตัวเองให้ไปถึงขีดสุด เพราะหัวใจของการเข้ายิม ก็เพื่อออกกำลัง เพิ่มพลังงาน ขจัดส่วนเกิน และสลายความเครียด จากการนั่งทำงานนานๆในออฟฟิศตัวติดกับคอม การออกกำลังสามารถช่วยผ่อนคลายกายและใจ ให้ว่างจากความคิดที่ผูกติดอยู่แต่กับงาน เพิ่มสมรรถภาพทางกาย และพักผ่อนสมองที่เหนื่อยล้าไปพร้อมๆกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้เกี่ยวกับบล็อกและคุณอาจอยากถาม ผมเริ่มเขียนบันทึกความทรงจำต่อ และตั้งตานึกถึงเรื่องต่างๆที่อยากจะเขียนต่อไปในอีกหกเดือนข้างหน้า
ผมได้ทิ้งคุณไว้ตอนที่แล้วเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไปประเทศลาวครั้งแรกของผมในหมวดประสบการณ์ในไทย และอีกตอนของทริปเที่ยวเมืองคูซโกในเปรู กับบรรยากาศแสนตรึงตราใจที่พลาซ่าหลังอาทิตย์สนธยา ทัศนียภาพอันงดงามของเมืองที่มองไปได้ไกลสุดตา อิ่มเอมกับบันทึกความทรงจำ เช่นเดียวกับเรื่องราวบนบล็อกตลอดหกเดือนที่ผ่านมา และการเริ่มต้นตอนใหม่ของประสบการณ์ในเมืองไทย และชีวิตความเป็นอยู่ของผม ณ ปัจจุบันในประเทศลาว
เอดิเตอร์ภาคภาษาไทยของผมรีบส่งข้อความมาย้ำเตือน
“พอกันทีนะกับเรื่องวัว เมนูสัตว์ประหลาด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู เห็นแก่พระเจ้า กรุณาเขียนอะไรที่น่าสนใจ”
และผมสัญญาว่าทำให้ดีที่สุด