หารายได้จากภาษา
จากโชว์หนึ่งกลายเป็นอีกโชว์ ชีวิตก้าวต่อไป ผมทะยานจากงานหนึ่งสู่งานหนึ่ง เพิ่มเติมด้วยงานฟรีแลนซ์ ใช้เวลาอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่และทำงานไปด้วยประมาณหนึ่งปีก่อนย้ายกลับกทม. ซึ่งตอนนั้นบรรยากาศทางการเมืองตึงเครียดพอสมควร ผมเก็บมอเตอร์ไซค์ไว้ และมันก็เป็นยานพาหนะเพียงอย่างเดียวที่ผมใช้เดินทางทั่วกรุง และในค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางรายงานข่าวการประท้วงและสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น มันเริ่มไม่ปลอดภัยที่จะเดินทางในระยะหนึ่งกิโลจากที่ทำงานกลับบ้าน เพราะผมต้องขี่ข้ามถนนเส้นหลัก ซึ่งข่าวว่ามีกลุ่มมอเตอร์ไซค์พกอาวุธและซุ่มยิงกราดใครต่อใครหรืออะไรก็ตาม ในขณะที่ฝ่ายทหารพยายามจับกุมกลุ่มเหล่านั้น ทั้งเมืองตกอยู่ในสภาวะรอลุ้นกับความไม่รู้ เป็นการปราบจราจลทางการเมืองครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสประสบการณ์ (แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย) ผมใช้เวลาช่วงค่ำติดตามความคืบหน้าเมื่อข่าวใหม่เข้ามาที่ออฟฟิศ พอรุ่งเช้าถึงปลอดภัยที่จะเดินทางกลับบ้าน ผมใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงถัดมาอยู่แต่ในบ้านอย่างเงียบๆ ผมว่าผมอาจจะคิดต่อพูดต่อเกี่ยวกับประเด็นการเมือง และบางทีผมอาจจะ แต่ในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติ จะดีกว่าถ้าผมสงบปากสงบคำ และยิ่งสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งควร
แปลวรรคที่ไม่มีสิ้นสุด
อย่างที่บอก ผมรับงานแปลฟรีแลนซ์ และในไม่ช้าก็กลายเป็นได้แปลสคริปท์ต่างๆของรายการท่องเที่ยวและสารคดี ผมซื้อพจนานุกรมแปลของ อ.สอ เสถบุตร ครบเซ็ต (ผมยังมีเซ็ตพจนานุกรมแปลอังกฤษ–ไทยและไทย–อังกฤษอยู่จนถึงทุกวันนี้) และเริ่มคุ้นเคยกับการเรียงตัวอักษรและค้นหาความหมายของคำต่างๆ ผมเรียนรู้ศัพท์ได้มากขึ้นในสองถึงสี่ปีถัดมากว่าตอนสองปีก่อนหน้านั้นเสียอีกและศัพท์ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับรายละเอียดและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ภาษาที่เจาะจงพิเศษ คำ และอื่นๆอีกมาก และผมเริ่มเห็นความเหมือนกัน ภาษาไทยคือภาษาที่มีสามรูปแบบแตกต่างกัน และมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างวิธีการเขียนและพูด บ่อยครั้งที่พยายามจะแปลอะไรจากไทยเป็นอังกฤษผมมักจะอ่านไปตามประโยคยาวๆจนในที่สุดถึงเนื้อหาสรุปของประโยคซึ่งที่จริงแล้วเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหัวข้อในภาษาอังกฤษ อะไรอื่นอีก (และคุณก็จะพอได้รับรู้รสจากการอ่านบล็อกนี้) ประโยคไม่มีโครงสร้างเหมือนภาษาอังกฤษ หัวข้อ เนื้อความที่ถก บทสรุป และตั้งข้อคิดใหม่ และย่อหน้าใหม่ ในภาษาไทย ดูเหมือนว่าไม่มีแค่หัวข้อเดียวในย่อหน้าเดียว และมักจะประกอบด้วยหนึ่งประโยคยาวต่อเนื่อง น่าสนใจและใช้เวลาอย่างมากจริงๆกับการแปลให้ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ (เอดิเตอร์ภาษาไทยของผมอาจจะกำลังยิ้มอยู่ตอนนี้และพยักหน้าเห็นด้วยทุกประการว่าการแปลนั้นเป็นงานที่สาหัสยิ่งนัก)
สาดแสงส่องประกายระยิบ
มีลูกค้าจำนวนมากมักจะชอบเขียนภาษายกมาทั้งสวนบุปผชาติ และภาษาไทยก็ดันมีศัพท์แสงมากมายที่ทำให้สามารถขยายความประโยคได้เว่อร์วัง ปัญหาคือภาษาที่ดูสวยในภาษาไทยเมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษมันไม่สามารถทำได้ด้วยความวิตกว่าการตัดทอนคำจะทำให้ผู้อ่านเกิดอาการช็อคด้วยระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเฉียบพลัน บ่อยครั้งที่ผมถูกเรียกตัวหลังจากส่งงานให้รักษาระดับความสวยงามของภาษาโดยไม่ตัดทอนรายละเอียดของต้นฉบับ เมื่อผมพยายามจะอธิบายว่าความวิจิตรสวยงามเวิ่นเว่อร์วอลังการสาดแสงส่องประกายระยิบดั่งน้ำทิพย์รินหลั่งจากสวรรค์ทาบลงอาบพื้นพสุธานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ความเงียบก็บังเกิดขึ้น ก่อนที่จะมีคำสั่งกลับมาว่า “ถึงกระนั้น การแปลต้องยึดถือตามต้นฉบับ” ผมสูดหายใจและบรรจงใช้ความสามารถทางการแปลด้วยภาษาและศัพท์แสงสารพันไม่ต่างจากการเติมปุ๋ยเร่งดอกและใบให้ผลิขจรขจายขยายพันธุ์ไปทั่วทุ่งลาเวนเดอร์ที่สวยงามดั่งสวนสวรรค์ ลงพิมพ์ในไม่กี่วันถัดมา ผมได้รับสายจากปลายทางว่า “แปลได้เริ่ดเพอร์เฟคท์มาก แต่ว่าคุณช่วยหาศัพท์อื่นที่มันง่ายกว่าของคำว่า ‘งาม’ ได้ไหม”
บทกวีหรือประโยคที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งหมดนี้เพื่อจะกล่าวว่าสองสไตล์ที่แตกต่างของภาษาพูดและเขียนภาษาไทยนั้นอยู่แยกกันคนละโลก และบ่อยครั้งที่นักเขียนมักลืม และเขียนบทสำหรับนักแสดงที่ไม่มีทางท่องจำบทได้ และมีหลายครั้งที่ผมต้องท่องจำสคริปท์เหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างวกวนและทิ้งแขนลงด้วยความสิ้นหวังเพราะผมพยายามจดจำสิ่งที่่สุดแสนประหลาดและผิดธรรมชาติ และผมยังไม่ได้แตะถึงขั้นเทพของความยากและซ้ำซ้อนที่ผู้เขียนบทบรรจงแต่งแต้มในบทพูดของแต่ละตัวละคร กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแปลหรือบทสคริปท์ต่างๆจำนวนมากที่ผมผ่านมา ผมได้เรียนรู้ภาษามากมายจากกิจกรรมงานเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะสามารถแปลโคลงกลอนต่างๆที่ใช้ภาษาแบบดั้งเดิมที่ลูกค้าส่งมา ยกตัวอย่างง่ายๆ แบบแผนและรูปแบบสูงสุดของโคลงกลอนไทยคือสัมผัสคำคล้องจอง ความยาวของบรรทัดอาจไม่เท่ากัน แต่รูปแบบของโคลงกลอนต้องมีความหมายในตัวเอง ดังนั้น โคลงสี่สุภาพจะประกอบด้วยสี่บรรทัด โดยที่สี่บรรทัดนั้นแยกออกเป็นสองตอน ตอนแรกของแต่ละบรรทัดต้องมีห้าพยางค์ตอนที่สองของแต่ละบรรทัดจะมีจำนวนพยางค์ที่แตกต่าง คือสองและสี่พยางค์ ในบรรทัดแรกและบรรทัดที่สาม และสองและสี่พยางค์ในบรรทัดที่สองและสี่ตามลำดับ ไม่ใช่เพียงแค่นี้ อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องการออกเสียงคำที่แตกต่างในภาษาไทย และข้อจำกัดของกลอนเหล่านี้ยังระบุเฉพาะเจาะจงว่าต้องใช้หนึ่งหรือสองเสียงวรรณยุกต์ตรงตำแหน่งไหน งงพอรึยัง? แถมยังมีเรื่องความคล้องจอง ผมว่าผมน่าจะหยุดอยู่แค่ที่ประโยคไม่มีวันจบเสียดีกว่า