ลาปาซ โบลิเวีย
ลาปาซเป็นเมืองที่วิเศษมาก ผมอยากจะใช้คำว่ารังวิหกเพื่อบรรยายที่ตั้งเมืองนี้ แต่มันก็คงไม่ถูกนัก เมืองที่แผ่บริเวณตั้งอยู่ในหุบเขาลึกที่ก่อกำเนิดจากแม่น้ำโชกียาปู (Choqueyapu River) ส่วนกลางของตัวเมืองประกอบด้วยถนนคู่ขนานสายหลักสวนสาธารณะ และจตุรัสเมือง โดยเมืองแผ่ขยายไปตามหุบเขาต่างๆ สนามบินตั้งอยู่บนยอดเขาแคบๆ และเมื่อผมมองเห็นมันจากรถโดยสาร ผมดีใจอย่างยิ่งที่เลือกเดินทางด้วยรถที่ถึงจะใช้เวลายาวนานทั้งวันแทนที่จะบินมา เพราะสำหรับผมแล้ว สิ่งที่เห็นมันดูเหมือนจะไม่มีทางเอาเครื่องลงจอดได้ ผมได้อ่านสองสามวันก่อนออกเดินทาง เหมือนอีกหลายที่ในทวีปอเมริกาใต้ที่ใช้รถกระเช้าเป็นระบบขนส่งมวลชนบรรทุกผู้คนไปยังบางจุดของเมืองและพื้นที่ใกล้เคียงของเอล อัลโต ระบบขนส่งมวลชนนี้ในปี 2017 มีระยะทางยาวถึง 17 กิโลเมตร และวางแผนจะขยายจุดเชื่อมต่อยาวไปถึง 40 กิโลเมตรของระบบขนส่งโดยรถกระเช้าหรือ เทเลเฟอริโก (teleferico) ผมไม่มีเวลาได้ทดลองใช้บริการ คุณอาจพูดได้ว่าผมโชคดีในความโชคร้ายเพราะผมกับรถกระเช้านั้นไม่ถูกจริตกันนักแต่ผมก็พอเข้าใจได้ว่าระบบขนส่งช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้อย่างมากโดยการให้บริการตรงจากชุมชนบนเทือกเขาสู่จุดต่างๆในหุบเขาแทนที่จะต้องให้ชาวบ้านเดินทางด้วยความยากลำบากผ่านเส้นทางทุรกันดาร
เมื่อรถที่ผมโดยสารขับเคลื่อนอย่างยากลำยากผ่านถนนที่แออัดนอกเมือง สารพัดผลงานสรรค์สร้างจากโลหะตั้งตระหง่านตามเส้นทางไปสู่เมือง รวมถึงหนึ่งในผลงานสุดอัปลักษณ์เกินบรรยาย อนุสาวรีย์แห่ง ชิ เจวารา ทำจากชิ้นส่วนโลหะรวมทั้งอะไหล่รถ เฟือง ล้อ และส่วนอื่นๆ สูง 30 เมตร และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ผมสังเกตสารพัดงานศิลปะเมื่อผมเดินทางในประเทศ แต่ไว้ผมค่อยเล่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ลาปาซได้ถูกจดจำว่าเป็นเมืองที่มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลที่สุดในโลก และเทียบกับก่อนหน้านี้ที่คูซโก โบโกตา ปูโน ทุกแห่งอยู่ราวระดับ 3,000 เมตร ที่ลาปาซก็เช่นกันทำผมป่วยตอนมาถึง ปีนขึ้นไปหลายขั้นจากที่พักสู่จุดอื่นของเมืองเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำอย่างเชื่องช้าสำหรับวันแรก หลังจากการเดินทางเต็มวันด้วยรถโดยสาร ผมเรียกแท็กซี่จากสถานีรถไปส่งที่พัก
สำรวจเมือง ถนนและตรอกซอกซอย
ที่พักที่ผมหาผ่านเวปจองที่พักนั้นที่จริงแล้วดัดแปลงมาจากบ้านรับรองคาธอลิกเก่า ห้องพักกว้างขวางเพียงพอถึงแม้ว่าจะต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน เดอะเรสซิเดนเชียล ลาติโน ราคาสมเหตุสมผล ถึงจะเก่าแต่ก็สะอาดและสบาย บ่ายแก่ๆผมเข้าเช็คอินในที่สุด และพยายามหาทางเข้าเมืองเพื่อซื้อซิมมือถือใหม่ อากาศดี อุณหภูมิยังอยู่ที่ 20 องศาในช่วงกลางวัน และลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว และไม่นานผมก็เริ่มสั่นเมื่อผมเดินอย่างช้าๆไปยังจตุรัสเมืองและตลาดซึ่งผมมั่นใจว่าจะหาซื้อสิ่งที่ต้องการได้ 20 นาทีผ่านไปหลังเดินเข้าออกหลายร้าน ในที่สุดผมก็มีซิมการ์ดที่สามารถใช้งานและกลับมาใช้เน็ตได้ น่าเสียดายที่ผมมีแผนจะอยู่ที่ลาปาซแค่วันเดียว และผมรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้เริ่มเดินท่องตัวเมือง มันเป็นช่วงสุดสัปดาห์ที่ผมได้ดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมและศิลปะในหลากหลายที่
หนึ่งในจตุรัสเมืองมีการจัดเทศกาลโปรโมทธุรกิจสตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอาชีวะต่างๆอย่างจัดเต็ม และน่าสนใจอย่างยิ่งที่ได้เดินชมการจัดแสดงงาน ใกล้ๆกับสถานที่จัดงานผมยังได้เข้าเยี่ยมชมหอศิลป์ที่มีนิทรรศงานของช่างภาพจากทั่วทวีปอเมริกาใต้พร้อมด้วยเวิร์คช็อป ณ ลานจัดแสดงในวันนั้นพอดี
มีตลาดคนเดินหลายแห่งใกล้ๆ รวมถึงถนนเส้นที่ขายสารพัดสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยว และหนึ่งในถนนเส้นเล็กๆนั้นผมก็ได้เสียตังค์ซื้อผ้าพันคอหนึ่งผืนเพราะได้อ่านสภาพภูมิอากาศที่ผมจะต้องเผชิญในอีกไม่กี่วันที่ผมจะใช้เวลา 4 วันของการเดินทางข้ามเดอะซาลา เดอ อูยูนิ (the Salar de Uyuni) –ทุ่งนาเกลือขนาดยักษ์สูงขึ้นไปบนเทือกเขาแอนดีสของโบลิเวียร์ สยายใจเสียตังค์ไป 15 เหรียญซึ่งถือคุ้มมากกับการทำให้ผมอุ่นไปตลอดอาทิตย์ถัดมา
การผจญภัยต่อไป – Uyuni
อย่างเด่นชัด โบลิเวียร์เป็นแหล่งผลิตหลักของควินัว และถือเป็นแหล่งผลิตที่มีคุณภาพดีสุดในโลก ควินัวเป็นอาหารของชนเผ่าอินคา และเป็นอาหารท้องถิ่นหลักที่มนุษย์บริโภคมากว่า 4,000 ปี มีถิ่นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงโคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวียร์ และชิลี และโบลิเวียร์ก็ยังเป็นประเทศที่มีผลผลิตที่มีคุณภาพดีที่สุด
ในช่วงค่ำคืนของวันถัดมา ผมเดินกลับไปที่สถานีรถและพยายามมองหารถที่จะพาผมไปอูยูนิซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในเทือกเขาอัลติพลาโน การท่องเที่ยวสู่เมืองหลวงแห่งนี้สั้นเกินไป และเมื่อคิดย้อนผมควรจะใช้เวลาที่นี่มากกว่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ มันจะได้เป็นข้ออ้างเพื่อการกลับมาเยือนประเทศนี้และเมืองนี้อีกครั้งเพราะมันยังมีอะไรอีกมากมายที่น่าค้นหาและควรค่าแก่การตะลุยท่องไปสู่โลกทัศน์ใหม่ๆ