การเล่นบท ‘คนเลว’
แล้วเราก็กลับมาจากตุรกีเพื่อจะเตรียมพร้อมสำหรับทริปต่อไป ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าประเทศอะไร แต่เหมือนว่าเราเดินทางไปที่ต่างๆในช่วงฤดูหนาว ฟินแลนด์ในกุมภาพันธ์ ออสเตรเลียในมิถุนายน เกาหลีใต้ในตุลาคม อาร์เจนตินาในสิงหาคม มอสโคว์ในกุมภาพันธ์ และอีกหลายประเทศสลับกันวุ่นวายไปมา ผมจะพูดถึงประเทศเหล่านี้เมื่อถึงเวลา ให้เวลาคุณพักฟื้นฟูสักหน่อยจากทริปตุรกีอันยาวนาน
ถึงแม้ผมจะมีส่วนร่วมกับฝ่ายผลิตรายการในแผนกต่างประเทศ ผมยังช่วยแผนกอื่นที่สามารถนำทักษะทางด้านภาษาของผมมาใช้ แผนก “ทำลายสถิติ” ซึ่งเราจะล้างสถิติกินเนสบุคด้วยการเชิญเจ้าของสถิติแต่ละแขนงมาประเทศไทยเพื่อทำลายสถิติเดิม เรามีนักสร้างสถิติอยู่จำนวนหนึ่ง รวมถึงนักปั่นจาน ชายผู้แข็งแกร่ง นักคล้องบ่วงบาศและตวัดแส้ และผู้ชำนาญด้านอื่นๆ ในขณะเดียวกันเรายังเชิญโชว์ต่างๆมาแสดงในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นนักสเก็ตบอร์ด นักสะกดจิต มนุษย์แม่เหล็ก (ผู้ซึ่งทนต่อการถูกแทงได้) และนักบวชเส้าหลิน ถึงแม้แต่ละการแสดงจะเป็นการโชว์เดี่ยวเพียงครั้งเดียว แต่คณะนักบวชนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง และแน่นอนว่ามีระดับของตนเอง แม้แต่ทุกวันนี้ยังเป็นไปได้ที่จะไปเที่ยวสำนักเส้าหลินเก่าแก่ในเมืองจีนและใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับเบื้องหลังประวัติศาสตร์อันยาวนานของทักษะความแกร่งและวิชาตัวเบาของนักบวชเหล่านี้ ผมยังได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่มาใช้เวลาหลายเดือนหรือยาวนานกว่านั้นพำนักอาศัยอยู่กับเหล่านักบวชเพื่อฝึกวิทยายุทธ ทั้งยังสำคัญกว่านั้น บทเรียนหลักที่สอนให้เรียนรู้คือ การรู้จักให้เกียรติผู้อื่นและถ่อมตัว
กับความหลากหลายของการแสดงและโชว์จากต่างประเทศ ในไม่ช้ารายการก็ได้รับความนิยมและเรทติ้งพุ่งทะลุเพดานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และบ่อยครั้งที่ผู้ชมมักจะสอบถามเข้ามาว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับชมคือความจริงหรือเป็นแค่การแสดง ในขณะเดียวกัน เรื่องราวในประเทศจะเน้นเกี่ยวกับอาหาร ความสามารถแปลกๆ และการทำสถิติ อึด ถึก ทน (เช่นการอัดตัวอยู่ในตู้กระจกเป็นวันๆกับแมงป่อง) และอื่นๆอีกมากมาย เราพยายามอยู่สักพักหลังทริปถ่ายทำที่มอสโคว์ที่จะนำละครสัตว์มอสโคว์มาแสดงที่ไทย แต่น่าเสียดายที่เกินงบ และน่าจะเป็นการขนเคลื่อนที่ยากลำบาก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยเราก็ได้พยายาม
สร้างจากเรื่องจริง …
ในขณะเดียวกัน ผมยังคงสวมบทบาทเล็กๆในละครทีวี รวมถึงเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นละครจบในตอนเกี่ยวกับเรื่องจริงของชาวต่างชาติผู้มาพำนักในประเทศไทยในช่วงต้นยุค 20 อยู่ผิดที่ผิดทางกับคนผิดๆ และสุดท้ายถูกทอดทิ้งพร้อมลูกเล็กๆอีก 4 คนให้ต้องดูแล ทั้งที่ไม่ใช่พ่อของเด็กๆเหล่านั้น เขาตกหลุมรักและพยายามหางานโดยไม่เกี่ยงงอนเพื่อตัวเขาและภรรยา เขาได้งานเป็นครูพิเศษที่ต้องทิ้งบ้านเดินทางไปทำงานไกลๆหลายอาทิตย์หรือแม้แต่เป็นแรมเดือน เขามักกลับบ้านเพื่อพบว่าภรรยาตั้งท้อง ตอนแรกก็เชื่อว่าเป็นลูกของเขา แต่ไม่มีลูกคนไหนใช่เลย ความสัมพันธ์จบลงที่่เขาถูกภรรยาทิ้งไปพร้อมกับลูกเพียงคนเดียวที่เป็นลูกแท้ๆของเขา ซึ่งก็คงนำติดไปเพื่อใช้เป็นตัวหาเงิน โดยทิ้งลูกๆอีกสามที่ไม่ใช่เลือดเนื้อของเขาแต่อย่างใดให้เลี้ยงดู เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยการช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน เก็บกระป๋อง เก็บขวดพลาสติก หรืออะไรก็ตามที่รีไซเคิลได้มาขาย เขาอาศัยอยู่ทางภาคอีสานของไทย และเมื่อเด็กๆโตขึ้น ไม่มีลูกคนไหนกลับมาเลี้ยงดูเขาเลย
ความชั่วร้ายซุ่มซ่อน … ชีวิตเลียนแบบงานศิลปะ?
นอกเหนือจากนั้นผมมีบทนำในละครเรื่องอีกหนึ่งเรื่องซึ่งผมแสดงเป็นหัวหน้ามูลนิธิพัฒนาเด็กและชุมชน ในช่วงบทนำของละครมีการแนะนำตัวละคร บาทหลวงผู้หวั่นเกรงพระผู้เป็นเจ้าละทิ้งชีวิตแสนสบายในโลกตะวันตกมุ่งสู่การทำงานในแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองไทย ในในตอนต่อๆ ไป มีการเพิ่มแทรกทีละเล็กละน้อยของวิถีชีวิตที่เคลือบแคลง โทรศัพท์สายลับ การพบปะแปลกๆ วิธีประหลาดๆในการเรียกเงินบริจาคและค่าใช้จ่ายแฝง “ชีวิตเปื้อนฝุ่น” คือชื่อของละคร และมันก็กลายเป็นละครหลังข่าวสุดฮิต จากบุคลิกที่น่าชื่นชม สุดจะใจดีมีเมตตาต่อเด็กยากจนในแหล่งเสื่อมโทรม นักบวชเริ่มกลับกลายเป็นเห็นแก่ได้ จอมบงการไร้หัวใจ ผู้หลอกล่อเอาเงินในกระเป๋าจากเหล่าไฮโซอุปโลกน์ทั้งหลาย เปลี่ยนเป็นสปีดโบ้ทและบ้านหรูในต่างประเทศ ในขณะถ่ายทำ มีหลายเรื่องราวที่เป็นข่าวอื้อฉาวในอเมริกา ความจริงที่ถูกเปิดโปงของเหล่านักบุญใจบาป จนบางครั้งผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่าละครที่กำลังถ่ายทำนั้นอิงจากเรื่องจริงในอีกมุมโลก ละครมาถึงจุดพีคระหว่างบาทหลวงและผู้ร่วมทีมหน้าใหม่และเด็กบางคนในสลัมที่รวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงบาทหลวงให้ถูกดำเนินคดีทางกฏหมาย สิ่งที่ผมสิ่มองข้ามไปคือ ปฏิกิริยาของผู้ชมต่อตัวละครสมมุติในละครบางคนไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงและการแสดง และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ความเกลียดชังจากผู้ชมถูกโถมทับสู่ชีวิตจริงในรูปแบบของการด่าทอ สาปแช่ง ผมสารภาพเลยว่าบทบาทนั้นมันปีศาจชัดๆ และในชีวิตจริงก็ควรถูกถลกหนังทั้งเป็น แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมจำได้ แจ็ค นิโคสันเคยกล่าวไว้ว่า
“Nothing plays as good as a bad guy.”
ไม่มีบทบาทไหนจะได้ผลลัพธ์ที่ดีไปกว่าบทคนโฉดอีกแล้ว