ทะเลสาบ น้ำตก การข้ามชายแดน และดอกไม้แดฟโฟดิล
“I wandered lonely as a cloud
วันแห่งเหตุผลที่แท้จริงของการเดินทางไปเปอร์โตเวราซมาถึง ผมสนุกสุดๆกับที่นี่สองวันเต็ม แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป San Carlo de Bariloche ในประเทศ Argentina ผมค้นคว้าข้อมูลวิธีการข้ามชายแดนก่อนออกจากแคนาดา ตอนที่ผมเริ่มวางแผนการเดินทางไม่มากก็น้อย ผมดูแผนที่ และคนส่วนใหญ่มักใช้เส้นทางพื้นฐานเดิมๆ ข้ามจากประเทศชิลีไปอาร์เจนตินาจากซานติเอโก (Santiago) ไปยังเมนโดซา (Mendoza) แต่เส้นทางนั้นทิ้งพื้นที่กว่า 2,000 กิโลเมตรของชิลีโดยไม่ได้สำรวจอย่างน่าเสียดาย ผมอยากขยายการเดินทางลงใต้ Tierra del Fuego ถ้าเป็นไปได้ และนั่นทำให้ผมมองหาเส้นทางเลือกอื่นๆ ภูมิประเทศและฤดูกาลทำให้ยากในการเดินทางใต้ รวมถึงงบในกระเป๋า ผมไม่สามารถเติมพันสองพันเหรียญเพิ่มเติมที่จะพาตัวเองไปใต้สุดหล้า ดังนั้นผมจึงตัองมองหาจุดข้ามเขตแดนที่สมเหตุสมผล จนผมมาเห็น Bariloche ที่เหมาะจะเป็นสถานที่ที่ควรมาในช่วงฤดูหนาว สวิสเซอร์แลนด์แห่งอเมริกาใต้ ผมเห็นรูปภาพของเมืองในหน้าหนาวและฤดูร้อน มันดูเป็นเมืองที่สวยงามควรค่าแก่การมาเที่ยว ผมเริ่มมองหาหลากหลายช่องทางการเดินทางจากชิลีไปที่นี่ เส้นทางที่ได้คือจาก Puerto Varas ไปยัง San Carlo de Bariloche ด้วยรถโดยสาร เรือ รถโดยสาร เรือ รถโดยสาร เรือ และรถโดยสาร ผ่านสามทะเลสาบ เรือสามเที่ยว โดยสารรถสามต่อ
ภูเขาตระหง่าน
มีบริษัททางเลือกจำนวนหนึ่งและตารางการเดินทางที่หลากหลายสำหรับคนที่สนุกกับการเลือกเดินทางเพื่อชมวิวบนเส้นทางนี้ รวมถึงบางทริปซึ่งรวมห้องพักหนึ่งคืนใกล้ชายแดน เพื่อนและเจ้าของบ้านของผมขับรถไปส่งผมที่ท่ารถเพื่อเริ่มตะลุยทัวร์ และกรุณามากที่ช่วยไปคืนรถเช่าให้ผม ขึ้นรถพร้อมกับนักเดินทางท่านอื่นๆ แล้วพวกเราก็พร้อมเริ่มต้นการเดินทางระยะยาว จุดพักระหว่างทางจุดแรกคือสวนสาธารณะที่ได้เดินท่ามกลางธรรมขาติและมีน้ำตกที่สวยงาม ผมอยากจะท่องต่อแต่ราคาค่าเข้าสิบห้าดอลลาร์พร้อมกับอากาศเย็นยะเยือก และการเตือนจากไกด์ว่าทางเดินส่วนใหญ่เข้าไม่ได้ จึงปล่อยผมไว้ใกล้ตึกเพื่อพักดื่มกาแฟแทนที่จะทนหนาวถูกลมปะทะแถมเสียเงินอีกสิบห้าเหรียญ (ถ้าผมอยากจะได้อากาศหนาว ผมสามารถทำได้ง่ายกว่าที่อื่นและไม่ต้องจ่าย) กับ 45 นาทีที่หยุดพัก เราออกเดินทางอีกครั้ง ในไม่ช้าก็ถึงท่าที่เรือของพวกเรารออยู่ โหลดสัมภาระ เครื่องยนต์ทำงานและพวกเราก็มุ่งสู่การเดินทาง อาทิตย์สาดแสงเหนือทิวเขาโดยรอบให้แน่ใจว่าจะเป็นวันที่ดี อ่าวอยู่เบื้องหลัง และดวงอาทิตย์เริ่มให้ความอบอุ่นบนดาดฟ้า ผมมองไปทั่วๆและเบื้องหน้า ทะเลสาบแผ่ไกลสุดตากับทิวเขาโอบสองด้าน เหลียวกลับมามองเบื้องหลังผมสามารถมองเห็นโอซอร์โน (Osorno) ภูเขาไฟสัญลักษณ์ประจำประเทศชิลี ยอดเขาถูกบคบังหายไปในกลุ่มเมฆ แต่ดวงอาทิตย์ได้พยายามเผามันอย่างเต็มที่ และหลังจากเกือบ 30 นาทีบนน้ำ ภูเขาทั้งหมดก็ปรากฏแก่สายตา ผู้โดยสารรวมตัวกรูกันไปบนดาดฟ้า ถ่ายเซลฟีหรือรูปกลุ่มก่อนกลับลงมาสู่ความสบายของเคบิน ความทรงจำของการมาเยือนภาคพื้นสวยสุดตระการตาแห่งนี้ได้ถูกบันทึกลงดิจิตอลแล้ว
น้ำตกสูงตระหง่าน
พวกเราเดินทางต่อและเข้าถึงหุบผาที่ตั้งสูงสง่าตระหง่านอยู่นอกทะเลสาบ ทันใดนั้นเหตุผลการเปลี่ยนทิศทางก็เป็นที่ประจักษ์ ชั้นน้ำตกไหลลงมาจากผาสูงชันสมทบกับทะเลสาบที่ห่างจากเราแค่เอื้อมสัมผัส มันเป็นที่ดินส่วนตัว และเราสามารถมองเห็นบ้านอยู่บนนั้น สร้างอยู่บนเชิงเขา จากน้ำตกพวกเราเคลื่อนพลต่อไปยังท่าเรือที่ซึ่งแค่เพียงเดินระยะสั้นไปยังหมู่ตึกและที่ทำการศุลกากรของประเทศชิลี วิวโดยรอบสวยงาม และดอกบัวดินกำลังบาน มันเป็นฤดูใบไม้ผลิในหุบเขาแห่งชิลีใต้ เมื่อพิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเราเคลื่อนย้ายไปยังโรงแรมใกล้ๆเพื่อรับประทานมื้อกลางวันก่อนจะเดินทางต่อด้วยรถโดยสารไปยังทะเลสาบอีกแห่งในอาร์เจนตินา ผ่านหลายแห่งที่สวยงาม กับแม่น้ำฉาบไอเย็น ภูเขาซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งและป่าในไม่ช้าจะเปลี่ยนฤดูจากความหนาวที่อึมครึมสู่หน้าร้อนแห่งความสว่างสดใส
ข้ามชายแดน
จุดหยุดพักพิเศษระหว่างทางอนุญาตเผื่อเวลาให้พวกเราได้เดินชมและถ่ายรูปที่จุดแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศชิลีและอาร์เจนตินาก่อนจะกลับสู่การเดินทางต่อทางเรือ สองสามชั่วโมงถัดมากับการข้ามอีกทะเสาบก่อนถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายและรถขับพาผู้โดยสารทั้งหมดสู่ Bariloche ซึ่งเมื่อมาถึงเมื่อพลบค่ำแล้ว ผมใช้เวลาเกือบ 25 นาทีปีนขึ้นเนินเพื่อไปให้ถึงที่พักสำหรับคืนนั้น และอีก 45 นาทีหาตู้เอทีเอ็มและอาหารมื้อค่ำ ได้เรียนรู้ระหว่างทางว่าไม่ว่าจะเอทีเอ็ม บัตรเดบิตหรือเครดิตการ์ดใดๆไม่สามารถกดเงินออกจากเจ้าตู้เอทีเอ็มในอาร์เจนตินาได้ ปัญหาซึ่งไว้ค่อยแก้กันต่อพรุ่งนี้หลังจากที่จำเป็นต้องนอนพักเอาแรงอย่างหนักเสียก่อน