ความพยายามครั้งแรกในการแสดง
สุรีรัตน์ล่องหนและผม นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ช่วยให้เธอหายตัวได้ ผมสาบานเลยว่าแม้แต่ต้นไม้ที่ลานหน้าบ้านของผมยังสง่างามและพริ้วไหวแถมอาจจะสวมบทบาทได้ดีกว่าผมเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มผอมโย่งวัยยี่สิบห้าผู้ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ และบางครั้งก็ห้อยหัวโหนตัวอยู่บนต้นไม้พยายามแกล้งให้ตัวละครคนอื่นตกใจ ซีรีส์ดำเนินไป ซีนที่ผมสติค่อยๆหลุดนั่นคือไฮไลท์ของตอน บางครั้งที่ผมสลบไปพร้อมน้ำลายยืด หรือจะอะไรก็แล้วแต่ที่บทส่งมา (เชื่อเหอะว่าทอม ครูซไม่เคยต้องทำอะไรแบบผม) แต่ทุกอย่างคือช่วงเวลาที่แสนวิเศษ และผมก็ยังสนุก (โดยส่วนใหญ่) กับการถูกตามตัวไปสวมบทอะไรแบบนี้หรือแสดงเป็นตัวละครอื่นๆ
ทำงานเพื่อให้ตรงตามกำหนดเวลา
จะว่าไปคนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าการทำงานในกองถ่ายเป็นเรื่องสวยหรู และยิ่งละครที่ผู้ชมได้ชมนั้นทุกอย่างดูเสมือนง่ายและสมบูรณ์แบบ แต่เชื่อเหอะ ผมยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง (ไม่ว่าจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังกล้อง) ที่งานไหนจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น และซีรีส์แรกที่ผมแสดงก็เจอปัญหาเป็นครั้งคราว แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมาก ผมว่าทุกอย่างคือช่วงเวลาที่น่าประทับใจ ผมไม่ควรจะเล่าเรื่อยเปื่อยมากนัก แต่ก็มีหลายช่วงที่ดีและไม่ดี ไม่ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานกี่ปี สงครามกระชากเรทติ้ง ก็ยังมีอยู่เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละสถานีจะมีละครเรื่องใหม่ออกอากาศทั้งที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จสมบูรณ์ (ยกตัวอย่าง ผมเล่นเรื่องหนึ่งที่มีเพียงสองตอนที่ถ่ายเสร็จ แล้วก็ต้องรีบอัดที่เหลืออีกสิบสามตอนให้เสร็จภายในหกอาทิตย์ แต่นั่นก็อีกเรื่อง) เรื่องนี้ก็เช่นกัน โชคดีที่่แต่ละตอนส่วนใหญ่ถ่ายทำไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้จะมีความกดดัน การถ่ายทำที่เหลือก็ยังพอจะชิลล์กันได้บ้าง ยกเว้นตอนหนึ่งที่เจาะจง นัดนักแสดงตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าที่โลเคชั่นในกรุงเทพฯ พวกเรามาถึง รับประทานอาหารเช้า แต่งหน้า ทำผม แต่งตัว และได้รับการแจ้งว่าจะถ่ายทำตอนอื่นๆกันไปก่อน รวมถึงอีกโลเคชั่นเพราะยังต้องรอนักแสดงอีกคน จากเก้าโมงเช้าเป็นสิบโมง จนสิบเอ็ดโมงกลายเป็นเที่ยง แล้วรอกันต่อไป และในที่สุดก็ได้รับแจ้งว่านักแสดงผู้นั้นไม่สามารถมาได้เพราะจัดหนักไปหน่อยเมื่อคืน ไม่มีใครในทีมงานที่พอใจกับความล่าช้า เพราะอากาศทั้งร้อนและเหนอะ การถ่ายทำคืบหน้าไปได้น้อยมาก แถมแย่กว่านั้นคือซีนที่ต้องถ่ายกับนักแสดงผู้นั้นต้องถ่ายทำให้เสร็จภายในบ่ายเพื่อที่จะใช้ออกอากาศในตอนค่ำ ต้องเขียนสคริปท์กันใหม่โดยตัดตัวละครออก และแล้วแฟกซ์ที่ได้รับในอีกชั่วโมงถัดมาก็เป็นลายมือเขียนของซีนที่ต้องถ่ายทำแทนฉากเดิม พวกเราเตรียมพร้อมที่จะถ่ายในอีกหนึ่งชั่วโมง และให้เด็กส่งเอกสารนำเทปไปส่งห้องตัดต่อในอีกชั่วโมงถัดไป มันเป็นเวลาสี่โมงเย็นกว่าฉากใหม่จะมาถึงห้องตัดต่อ ตอนใหม่ถูกดัดแปลงพร้อมฉากที่เพิ่มเติมเข้าไป พอหนึ่งทุ่มเด็กส่งเอกสารอีกคนก็จะนำเทปที่เพิ่งถ่ายทำเสร็จสดๆร้อนๆพร้อมออกอากาศไปส่งที่สถานีที่ห่างไปอีกหนึ่งชั่วโมง เตรียมเด็กส่งเอกสารอีกคนกับเทปสำรองอีกหนึ่งม้วนในอีกห้านาทีถัดไปเผื่อฉุกเฉิน สองทุ่มเทปถึงสถานี และตอนสามทุ่มพวกเราก็จะได้ดูตัวเองออกอากาศในฉากที่เพิ่งถ่ายทำเสร็จเมื่อบ่ายนั้นเอง
เอาชนะความกลัว
โชคดีที่ไม่ใช่ทุกวันจะเป็นแบบนี้ และส่วนใหญ่เรามักถ่ายทำเสร็จราวสามสี่ทุ่มและกลับบ้าน ยกเว้นวันที่ผมตื่นกล้อง และแทบจะทำให้ทั้งกองถ่ายหมดความอดทน อย่างที่ผมบอก แม้แต่ต้นไม้ยังแสดงได้ลื่นกว่าผม แต่ผมก็เริ่มพัฒนาได้อย่างช้าๆโดยไม่ต้องหลายเทค สำเนียงผมชัดขึ้น และอีกหลายอย่างที่ผู้กำกับและผู้ร่วมแสดงคนอื่นๆพร้อมใจกันมองข้าม (สำนึกขอบคุณมาก) และแล้ว…คืนแห่งหายนะ ผมนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องกำลังมุ่งมั่นอยู่กับเครื่องช่วยล่องหน ไม่ว่าผมจะทำการทดลองเป็นร้อยๆครั้ง (ตามบท) ก็ยังไม่มีวี่แววความสำเร็จ ผมรู้ว่าผมเข้าใกล้จุดนั้นแล้ว แต่ผมต้องพลาดอะไรไปบางอย่าง และความกดดันก็ตกอยู่นางเอกที่ต้องช่วยแม่ของเธอและชิงมรดกกลับคืนมา ทุกอย่างสุมอยู่ในใจของนักวิทยาศาสตร์ ฉากนั้นเป็นตอนที่่ผมต้องเหวี่ยงแขนอย่างสิ้นหวังและกวาดของทั้งหมดลงจากโต๊ะ หลอดทดลองยา ชั้นวางของ เอกสารต่างๆ ก้าวข้ามกระต่ายตัวสองตัวในกรง เขวี้ยงข้าวของกระแทกผนังทั้งสามด้าน จนมาถึงผนังด้านที่สี่ของแล็ปซึ่งต้องแสดงความเกรี้ยวกราดครั้งสุดท้ายด้วยการกวาดอุปกรณ์แก้วลงพื้นตรงจุดที่กำหนด และผมต้องหันหน้ามองตรงมายังกล้องที่ห่างไม่ถึงคืบ และคำรามร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเครียดและสิ้นหวัง ก่อนถ่ายทำ ผมเริ่มรู้สึกกังวลและนึกภาพสารพัดที่จะเกิดขึ้นตอนแสดง ฟันอันเกทุกซี่จะต้องเห็นตอนแหกปาก ลิ้นไก่ที่ห้อยต่องแต่งอยู่ในคอ บ้าคลั่งต่อหน้าประชาชี เศษอาหารกระจายว่อนแปะเลนซ์…
ผมเดินไปทั่วห้อง ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แพนกล้องเลนซ์กว้าง แล้วก็มาสะดุดเพราะตะโกนไม่ออก ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ เทค 5 เทค 10 ผมสามารถได้ยินเสียงบ่นพึมพัมเบาๆจากข้างหลัง หลอดพลาสติก และสิ่งของที่ใช้ประกอบฉากเริ่มปริแตก (โชคดีที่เราไม่ได้ใช้แก้ว) เทค 15 เข็มนาฬิกากระดิกไปเรื่อยๆ เราเริ่มถ่ายทำกันตั้งแต่สามทุ่ม และนี่ก็จวนเจียนจะเที่ยงคืนแล้ว ผู้กำกับ ต้องอวยพรจิตวิญญาณของเขา ที่ยังสงบนิ่งอยู่ได้ (เขาคือผู้กำกับที่มีความอดทนสูงสุด ผมเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับเขา และได้มีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้งเมื่อเร็วๆนี้ในละครอีกเรื่อง) ตีหนึ่ง เรามาถึงเทค 20 ความตึงเครียดลอยแทรกอยู่ในทุกอนูอากาศ เสียงบ่นอื้ออึงมากขึ้น “พวกมือใหม่ นี่แหละที่คุณจะเจอเมื่อจ้างพวกไร้ฝีมือ” ผมสุดแสนจะโกรธตัวเองที่แม้แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้ก็ทำไม่ได้ จะอะไรนักหนาแค่ตะโกนใส่กล้อง ผมขอเวลาห้านาที เดินออกจากฉากไป รวบรวมสติและสงบจิตสงบใจ เทค 21 พักอีกห้านาทีและผมก็แทบจะจมกองน้ำตา สติพัง เดินกลับเข้าฉาก ไม่พูดอะไร แค่พยักหน้าให้สัญญาณ กล้องเริ่มเดิน เสียง – เช็ค ความเร็ว – เช็ค 5 4 3 2… แอคชั่น!!! ในความโกรธขึ้งและตึงเครียด ผมกวาดข้าวของบนโต๊ะตกแตกกระจาย เดินข้ามกรงกระต่าย โยนกองกระดาษ เหยียบกระทืบมัน หยิบหลอดและอุปกรณ์เขวี้ยงฟาดผนัง หมุนตัวไปที่ผนังด้านที่สี่ และในจังหวะสุดท้ายของความเครียดขึ้ง เหวี่ยงของเขวี้ยงข้ามห้อง หันหน้าเข้าหากล้อง และตะโกนคำรามก้องออกมาจนสุดปอด
ทุกสิ่งตกอยู่ในภวังค์เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียง “คัท” จบฉาก ยี่สิบสองเทคผ่านไปได้ ถอนใจอากาศพรูออกมาจนหมดปอด แล้วก็ตามมาด้วยเสียงของความชุลมุนวุ่นวายในการเก็บข้าวของสัมภาระ ปิดกล้องเสร็จสิ้น กลับบ้านกันเสียที