โบสถ์ยูเนสโกและสภาพอากาศที่มีพายุ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมกลับขึ้นรถอีกครั้ง เตรียมเดินทางไป Isla Grande de Chiloe เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของทวีป ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตรทางตอนใต้ของเปอร์โตเวราซ ไม่มีสะพานข้าม ผมจึงโหลดรถขึ้นเรือเฟอรีที่บรรทุกยวดยานพาหนะได้เที่ยวละสิบคัน ข้ามฟากแค่ระยะสั้นๆแต่หนาวชะมัด อากาศเปลี่ยน ปกคลุมด้วยเมฆ สลับกับฝนตกพรำในบางครั้ง มีคนบอกผมว่าเกาะนี้เป็นสถานที่ซึ่งน่าประทับใจ สมควรมาเที่ยวชม และผมก็กำลังเดินทางไป เหมือนกับในวันก่อนแทนที่จะใช้ถนนเส้นหลัก ผมเลี่ยงมาใช้ถนนที่ไม่ได้ราดยางแทนในทันทีที่เบี่ยงได้ – อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาดสุด และบางครั้งผมก็คิดว่าผมอาจตัดสินใจผิด แต่การค้นพบอะไรใหม่ๆระหว่างเดินทางนั้นคุ้มค่ายิ่งนัก มีเส้นทางที่เรียกว่าเส้นทางสู่โบสถ์ เส้นทางที่นำพาผู้มาเยือนและนักแดินทางแสวงบุญสู่โบสถ์แห่งพระบิดาหลายแห่งซึ่งงดงามแปลกตา ทุกแห่งล้วนมีเรื่องราวที่มาที่สำคัญ โบสถ์ส่วนใหญ่สร้างจากไม้ ผมไม่ได้หยุดแวะชมมากนักด้วยมีหลายสถานที่มากเกินกว่าที่จะเที่ยวได้ครบภายในวันเดียว โบสถ์หนึ่งในนั้นชื่อ Iglesia Caguach ซึ่งต้องต่อเฟอรีหลายลำและใช้เวลาเกือบทั้งวันเพราะมันตั้งอยู่บนเกาะอีกแห่ง โบสถ์ส่วนใหญ่ถูกพบในด้านฝั่งตะวันออกของชายฝั่ง และหลายแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก
เมืองที่น่าหลงใหลในเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอเมริกาใต้
คล้ายๆกับการเดินทางไปรอบ ทะเลสาบเมื่อวันก่อนชนบทที่นี่แผ่กระจายไปตามพื้นที่ชายฝั่ง ถึงแม้จะโชคไม่ดีที่ฝนไม่ได้หยุดตกนานกว่าครึ่งชั่วโมง ทำเอาขับรถไม่ราบรื่นไปเกือบทั้งวัน แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้ขับขึ้นเนินเขา จากบนยอดมองเห็นวิวที่ยอดเยี่ยมของมหาสมุทรและเมืองข้างล่าง ผมผ่านหมู่บ้านเก่าแก่ที่สวยงาม และบางพื้นที่ที่ไม่แตกต่างกับทางตอนเหนือของออนทาริโอมากนัก – พลเมืองไม่หนาแน่น กับบ้านที่ดูเรียบง่ายธรรมดา
ผมขับถึงคาสโตรและใช้เวลาช่วงสั้นๆในสวนสาธารณะชื่อ Park Plaza de Armas de Castro รื่นรมย์กับกาแฟหอมกรุ่นสักแก้วและซึมซับบรรยากาศของชีวิตในเมือง The Iglesia San Fransisco ตั้งอยู่ปลายทางทิศเหนือของพลาซา และกับความสูง 42 เมตรของหอคอยแฝด มันจึงเป็นสิ่งกอสร้างสูงที่สุดในเมืองในอดีต น่าเสียดายที่ตอนนี้ถูกบดบังรัศมีด้วยตึกอพาร์ทเม้นท์ระดับสูง โครงสร้างปัจจุบันถูกบูรณะในปีคศ. 1910 แม้ว่าโครงสร้างดั้งเดิมจะถูกสร้างขึ้นในปี 1711 โดยกลุ่มศาสนิกชน โบสถ์ได้รับการสถาปนาเป็นแลนด์มาร์กสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติและยังเป็นได้ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก
ฝั่งหินเป็นถนนสายหลัก
เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง ถึงเวลาที่จะเดินทางกลับ ขามาขับเลียบฝั่งตะวันออกของชายฝั่ง ผมพร้อมแล้วที่จะท่องไปตามฝั่งตะวันตกตอนขากลับทันทีที่ถนนจะนำผมไปตามเส้นทางที่ปรากฏ ขับเลาะถนนเลียบชายฝั่งตามแผนที่บนมือถือซึ่งแสดงเส้นทางถนนที่จะพาผมกลับไปยังท่าเรือและเฟอรี ข้ามเนินเล็กๆอีกลูกแล้วก็เจอทักด้วยแผงกั้นคลื่น ผมขับตามเส้นทางไปทางขวา เรือหาปลาลอยลำอยู่นอกฝั่ง ในขณะที่ห่างออกไปไม่ไกลเบื้องหน้าผมสามารถมองเห็นเรือเหมือนกันอีกลำอยู่ใกล้ฝั่งมากกว่า กลิ่นอายทะเล และผมก็สงสัยว่าถนนเส้นนี้จะพาผมไปที่ใด ไม่มีทางให้เลี้ยวขวา และทางซ้ายก็เป็นทะเลกว้าง ข้างหน้าของผมคือฝั่งที่ราดด้วยหินกรวดซึ่งน่าจะใช้เป็นถนนช่วงน้ำลง ผมไม่อยากเลี้ยวกลับและตามที่แผนที่บอก นี่คือถนนจริงๆ – ผมกังวลเล็กๆว่านี่เป็นช่วงน้ำขึ้นหรือลง แต่ก็ตัดสินใจขับต่อไป คำนวนว่าถึงจะเป็นช่วงน้ำขึ้นก็คงไม่เร็วขนาดนั้น และถึงจะเกิดขึ้น ผมก็น่าจะเร่งเครื่องตบเข้าขวาขึ้นไปจอดเทียบลานหน้าบ้านใครสักคนได้ทัน ผมขับไปตามเส้นชายฝั่งต่อประมาณสองสามกิโลเมตร และในไม่ช้าก็เจอทางให้เลี้ยว ผมต้องเลี้ยวขวาเพื่อเริ่มวนกลับทางทิศตะวันออก โบสถ์ไม้ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาข้างหน้า ผมขับวนไปด้านหลังของตึก และเจอเส้นทางสายตะวันออกอีกครั้ง ชนบทที่ผมขับผ่านไม่ต่างกันนักกับที่เห็นในช่วงก่อนหน้าของวัน และผมก็เสียใจที่อากาศไม่ดีไ แต่ก็จะเป็นข้ออ้างในการกลับมาเที่ยวเกาะอีกรอบในช่วงหน้าร้อนและใช้เวลาท่องเที่ยวค้นพบสิ่งสวยงามที่นี่
ประเทศที่พร้อมสำหรับการสำรวจ
นั่งเรือข้ามฝากกลับแผ่นดินใหญ่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นถึงจะมีกาแฟร้อนให้ดื่มเพิ่มความอุ่น ขับรถขึ้นเหนือกลับเปอร์โตเวราซ อากาศเริ่มดีขึ้น และเมื่อผมขับใกล้เข้าเมือง แดดออกถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะยังต่ำอยู่ ผมใช้เวลาอยู่บนถนนอีกสองสามเส้นก่อนถึงเมือง และอีกครั้งที่ได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของชนบทโดยรอบและยังมีหลายแห่งอีกมากแค่ไหนที่ต้องสำรวจและสนุกกับสถานที่ที่เสมือนไม่เคยถูกค้นพบ