ภูมิประเทศ เหมือนภาพวาดในโบลิเวีย

 

 

โอกาสอาบน้ำครั้งสุดท้ายก่อนชิลี

เช้าวันใหม่ที่รีบเร่ง เช้าก่อนอาทิตย์จะแตะขอบฟ้าเสียอีก เราคาดหวังว่าจะได้รับประทานอาหารเช้าไม่เกินหกโมงเช้า และออกเดินทางในเวลาหกโมงครึ่ง ภายใต้ความมืดที่ไร้กระแสไฟฟ้า เราทำอะไรต่อมิอะไรเท่าที่ไฟฉายจะอำนวยความสว่างและแพ็คสัมภาระเพื่อเดินทาง ยังง่วงอยู่และไม่มีความคิดที่จะอาบน้ำในอุณหภูมิเกือบศูนย์องศา พวกเราเดินไปยังห้องอาหาร หลายโต๊ะถูกจัดเตรียม นักเดินทางกลุ่มหนึ่งนั่งรับประทานอาหารเช้าใกล้เสร็จแล้ว ส่วนอีกโต๊ะก็คือพวกเรา จาน ถ้วย อุปกรณ์ครบ แต่ไม่มีอาหาร กาน้ำร้อนตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ เรามองหากาแฟและชา ในที่สุดก็เจอชาให้ชง ไม่มีเสียงใดๆจากครัว และแน่นอนไม่มีกลิ่นการปรุงอาหารใดๆโชยมา ในอีกด้านของตึก มีใครบางคนกำลังเดินมาพร้อมแผ่นขนมปัง พวกเรารอต่อไป ได้รับการยืนยันจากคนขับว่ายังมีอาหารมาเสิร์ฟอีก รอต่อไปอย่างเงียบๆ อีกกลุ่มรับประทานอาหารเสร็จแล้วลุกไป พวกเรายังนั่งรอต่อ หลังจากรอคอยอย่างยาวนาน ผมลุกเดินไปดูในครัวและพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น นอกจากกาน้ำร้อนที่กำลังต้มน้ำอยู่บนเตา ผมแจ้งไกด์ผู้พยายามหาอาหารทดแทนจากตู้กับข้าวและชั้นในครัว ไม่ช้าเขาก็กลับมาพร้อมของกินบางอย่าง ตั้งบนโต๊ะ แล้วพวกเราก็จัดการกับอาหารตรงหน้า บอกตามตรงไม่มีใครหิวอย่างจริงจัง แป้งลงท้อง สำรองพลังงาน ยกกระเป๋าเตรียมพร้อมเดินทางในแสงรุ่งอรุณ ยกสัมภาระขึ้นหลังคารถแพ็คเก็บทุกอย่างเรียบร้อย มันจะเป็นวันที่ยาวนาน หลายสถานที่่ต้องแวะเที่ยวก่อนข้ามเขตแดนไปชิลี ต้องประทับตราออกจากโบลิเวียร์ก่อนเที่ยง หรือไม่งั้นก็ต้องรออีกสองชั่วโมงกับการพักนอนกลางวัน ถ้าพวกเราจะโชคดีได้รับการช่วยเหลือใดๆ

 

ซัลวาดอร์ ดาลีในทะเลทราย

ไม่มีการบ่นแต่อย่างใด พวกเราขึ้นรถซึ่งเป็นที่เดียวที่อุ่น และในขณะที่ดวงอาทิตย์คืนคลานแตะขอบฝ้าอย่างช้าๆ แผ่รังษีอุ่นอาบทับความเย็นและแห้งแล้งของพื้นดิน Read more...

อ่านต่อไป...

นกกระเรียน ขนนก เทือกเขาแอนดีสโบลิเวีย

 

 

ยึดติดกับชีวิตในภูมิประเทศที่แห้งแล้ง

จากกระท่อมคนแคระเราออกเดินทางต่ออีกครั้งตั้งแต่เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น อีกหนึ่งวันอันยาวนานกับระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลในสภาพภูมิอากาศที่แห้งมาก หลังจากขับรถนานราวหนึ่งชั่วโมงกว่า เราได้เข้าสู่เขตแดนที่แตกต่าง พื้นผิวผลึกเกลือกลายเป็นเศษฝุ่นและผงละอองไกลตา และในบัดดลทัศนียภาพสลับเปลี่ยนเป็นยอดเขาเล็กๆ แผ่ขยายอยู่เบื้องหน้าคือทะเลสาบ ซึ่งเป็นจุดหยุดพักแรกของพวกเรา เรามีทริปเที่ยวทะเลสาบรวมสามแห่งตลอดสองวันข้างหน้า ทะเลสาบสีฟ้าใส เขียวอำพัน และแดงเจิดจรัส แต่ละที่มีพรรณพืชและไม้ดอกนานาพันธ์ุ รวมถึงสัตว์พื้นเมืองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นักในส่วนของพื้นที่ครอบคลุม แต่ทะเลสาบมีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตของนกฟลามิงโก สีขนที่สวยสดของพวกมันบ่งบอกได้ถึงสารอาหารที่่ได้รับจากทะเสาบ

 

 

 

 

ทะเลสาบ  นกกระเรียน  และ …

เราใช้เวลาสักพักที่ทะเลสาบแห่งแรก Laguna Hedionda เดินเที่ยวและชื่นชมดูสิ่งต่างๆ เรารู้สึกแปลกใจที่มีน่มีพืชพรรณอยู่ที่นี่ในรูปของหญ้าตามที่เห็นในรูป พืันที่โดยรอบเป็นหินกรวดและทราย แต่ที่นี่มีพิภพเล็ก ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจและยังมีชีวิตอยู่แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวย เราเคลื่อนตัวต่อ ข้ามทะเลทรายอีก ค่อยๆปีนไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยไปบนภูเขา

 

 

 

 

เราหยุดที่ทะเลสาบแห่งที่สอง Laguna ColoradaRead more...

อ่านต่อไป...

มุมมองที่แตกต่างกับ Uyuni

 

 

 

ความสวยงามที่น่าอัศจรรย์ในเทือกเขาโบลิเวีย

โรงแรมและริ้วธงห่างออกไปในฉากหลัง กลุ่มควันเล็กๆพัดมวลอยู่ในอากาศตามท้ายขบวนคาราวานสี่ล้อ จากระยะไกลเราสามารถมองเห็นยอดเขาที่ล้อมรอบด้วยนาเกลือ รถสองคันขับแยกทิศกันไป “สำหรับทุุกสิ่งที่ดีกว่า” คนขับกล่าว เพื่อหามุมดีๆที่พวกเราจะได้พักรับประทานมื้อเที่ยงกันอย่างสุขสบายและได้ปลดปล่อยใจไปกับอิสระความงามของพื้นที่เวิ้งว้างสีขาวอันกว้างใหญ่สุดสายตา ก่อนจะเดินทางต่อตลอดวันจนถึงพรุ่งนี้

 

โต๊ะสองสามตัวมาตั้ง พร้อมเก้าอี้นั่งพลาสติก ตามด้วยผ้าปูโต๊ะ ไม้หนีบจีบมุมไม่ให้ผ้าปลิว ในขณะที่เตาปิคนิคถูกนำมาตั้งเพื่อต้มน้ำและปรุงอาหาร ไม่นานนักมื้อกลางวันเราก็พร้อม เต็มไปด้วยสลัดและควินัว ผมได้ถือโอกาสเดินสำรวจเหมืองเกลือ เกลือกอบเป็นกองๆ ปูแนวเป็นถนนเส้นยาวๆ ตากแดดให้แห้งก่อนที่จะเก็บในวันถัดไป ตามที่ผมกล่าวไว้ก่อนหน้า เกลือที่ปกคลุมพื้นที่นี้สามารถเจอได้ทุกที่ในรัศมีที่ลึกลงไปไม่กี่เซ็นติเมตรหรือจะลึกระดับหลายเมตร และเหมืองเกลือยังเป็นรายได้หลักทางเศรษฐกิจ

 

 

เกาะในมหาสมุทรเกลือ

กินเสร็จ ทุกอย่างแพ็คเก็บ แล้วเราก็มุ่งสู่จุดหมายต่อไป เกาะกลางพื้นที่กว้างใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วคือยอดเขาที่โผล่ทะลุพื้นผิวขึ้นมา และด้วยวิถีประหลาดระคนทึ่ง เหล่าพันธุ์ไม้ไชรากและเบ่งบานอย่างองอาจมุ่งมั่นไม่สยบต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร ถูกปล่อยให้สำรวจสถานที่ตามอัธยาศัย พวกเราส่วนใหญ่เริ่มปีนไต่ไปตามทางหินขรุขระจนถึงจุดชมวิวบนยอดเขาเล็กๆ

 

 

 

 

จากจุดที่ยืนทอดสายตามองข้ามพื้นที่สีขาวกว้างใหญ่งดงามเกินร้อยเป็นถ้อยคำ ไม่ยากเกินเข้าใจได้ว่าทำไมที่นี่ถึงสะกดเหล่านักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาเยี่ยมชมหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ธรรมชาติสรรสร้าง ในเดือนกันยายน สภาพภูมิอากาศแห้ง ยังไม่มีฝนตกจนกว่าจะย่างเข้าเดือนมกราคม และถึงแม้จะถึงตอนนั้นฝนก็ตกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อฝนตกลงมา กองเกลือมหึมาจะถูกทับคลุมด้วยละอองน้ำเป็นชั้นบางๆ และพื้นผิวขนาดยักษ์เปลี่ยนสภาพเป็นกระจกผืนใหญ่ให้ได้ถ่ายเก็บบันทึกภาพประทับใจ (Read more...

อ่านต่อไป...

Salar de Uyuni, Bolivia

Uyuni – เกลือแห่งโลก

หลับตลอดทางสลับกับเด้งจากแรงกระแทกของถนนที่ขรุขระไปทั้งคืน อุณหภูมิลดดิ่ง แต่ผมได้เรียนรู้ที่จะใส่เสื้อผ้าทับหลายชั้นจนอุ่นสบาย เจ็ดนาฬิกาพวกเราเตร็ดเตร่อยู่หน้าสำนักงานทัวร์ที่จะพาเราข้ามซาลา เดอ อูยูนิ (Salar de Uyuni) นาเกลือขนาดใหญ่บนพื้นที่กว้างสุดตา แสงอาทิตย์สาดส่องและกระจายไออุ่นสู่ร่างกายเราอย่างช้าๆ อีกราวหนึ่งขั่วโมงหรือกว่านั้นก่อนที่สำนักงานจะเปิดทำการ กลุ่มคนทั้งหลายฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นสำรวจอูยูนิไปตามจุดต่างๆ ไม่มีอะไรมากนักในตัวเมือง แต่ก็พอมีจุดเที่ยวที่ให้ความรู้สึกสุดขอบโลก

 

 

จตุรัสเมืองเล็กๆที่จัดวางม้านั่งยาวแบบในสวนสาธารณะ ในขณะที่ร้านอาหารต่างๆให้บริการกาแฟและอาหารเช้า มีการจราจรอยู่บ้าง โดยรถราส่วนใหญ่เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ

ที่นี่เช่นกัน เศษชิ้นส่วนโลหะนำมาประดิษฐ์ใหม่เป็นรูปปั้นน่าสะพรึงสร้างความตระหนกแก่ยวดยานที่ขับผ่านเพื่อจะได้อยู่ภายใต้กฏระเบียบการขับขี่อย่างปลอดภัย ผมเจอร้านอาหารเล็กๆสำหรับกาแฟสักแก้วและเพื่อจะพักชาร์จแบตมือถือ ผมได้เปลี่ยนแบตใหม่ในเอกวาดอร์ แต่มันแย่เสียยิ่งกว่าแบตเดิมที่เคยใช้ และผมก็ต้องคอยชาร์จมันใหม่อยู่เรื่อยๆหลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง

เวลาผ่านไปพอสมควรและในที่สุดก็ถึงเวลากลับมารวมตัวกันที่จุดนัด และนักเดินทางกลุ่มเล็กๆผู้กระตือรือร้นก็ได้เดินสำรวจไปหลายพื้นที่บริเวณรอบๆใกล้สำนักงาน พวกเราเดินทางแบบขบวนคาราวานกลุ่มเล็กๆในชั่วโมงแรกหรือประมาณนั้นไปยังนาเกลือ แต่แบ่งออกเป็นสองกลุ่มที่เล็กลงแยกออกเป็นสองคันรถ พวกเรามีทั้งหมด 11 คนรวมคนขับและผู้ช่วย ซึ่งหมายความว่าต้องอัดกันอยู่บนสองเบาะพับเล็กๆด้านหลังและอีกหนึ่งที่นั่งจริงๆ ในขณะที่คนขับและผู้ช่วยนั่งกันอย่างสบายในตอนหน้า ผมรู้สึกสงสารอีกกลุ่ม ที่ต้องอัดกันถึงหกคน เราแต่ละคนนำน้ำดื่มติดตัวกันมาขั้นต่ำ 6 ลิตร ‘น่าจะพอเพียง’ หรือนั่นก็คือสิ่งที่พวกเราคิดสำหรับอีกสองสามวันข้างหน้า แต่มันกลับไม่ใช่ สัมภาระของพวกเราทั้งหมดถูกย้ายไปเก็บไว้บนตะแกรงหลังคาคลุมทับและรัดแน่น ผมสงสัยว่าทำไม แต่ในไม่ช้าก็เห็นได้ชัดว่าฝุ่นรุนแรงเพราะรถราจำนวนมากที่ขับข้ามเทือกเขาอัลติพลาโน และการที่จะรักษากระเป๋าเหล่านั้นให้ปราศจากฝุ่นไม่ต่างจากฝันร้าย

บ้านสร้างขึ้นจากเกลือ

เราเริ่มทริปกับจุดหมายแรกกระจุกบ้านหรือกระท่อมที่ทำเป็นที่อยู่อาศัยหรือร้านค้าสำหรับชุมชนริมนาเกลือ Read more...

อ่านต่อไป...

สูงขึ้นไปใน Altiplano เมือง ลาปาซ ของโบลิเวีย

ลาปาซ โบลิเวีย

ลาปาซเป็นเมืองที่วิเศษมาก ผมอยากจะใช้คำว่ารังวิหกเพื่อบรรยายที่ตั้งเมืองนี้ แต่มันก็คงไม่ถูกนัก เมืองที่แผ่บริเวณตั้งอยู่ในหุบเขาลึกที่ก่อกำเนิดจากแม่น้ำโชกียาปู (Choqueyapu River) ส่วนกลางของตัวเมืองประกอบด้วยถนนคู่ขนานสายหลักสวนสาธารณะ และจตุรัสเมือง โดยเมืองแผ่ขยายไปตามหุบเขาต่างๆ สนามบินตั้งอยู่บนยอดเขาแคบๆ และเมื่อผมมองเห็นมันจากรถโดยสาร ผมดีใจอย่างยิ่งที่เลือกเดินทางด้วยรถที่ถึงจะใช้เวลายาวนานทั้งวันแทนที่จะบินมา เพราะสำหรับผมแล้ว สิ่งที่เห็นมันดูเหมือนจะไม่มีทางเอาเครื่องลงจอดได้ ผมได้อ่านสองสามวันก่อนออกเดินทาง เหมือนอีกหลายที่ในทวีปอเมริกาใต้ที่ใช้รถกระเช้าเป็นระบบขนส่งมวลชนบรรทุกผู้คนไปยังบางจุดของเมืองและพื้นที่ใกล้เคียงของเอล อัลโต ระบบขนส่งมวลชนนี้ในปี 2017 มีระยะทางยาวถึง 17 กิโลเมตร และวางแผนจะขยายจุดเชื่อมต่อยาวไปถึง 40 กิโลเมตรของระบบขนส่งโดยรถกระเช้าหรือ เทเลเฟอริโก (teleferico) ผมไม่มีเวลาได้ทดลองใช้บริการ คุณอาจพูดได้ว่าผมโชคดีในความโชคร้ายเพราะผมกับรถกระเช้านั้นไม่ถูกจริตกันนักแต่ผมก็พอเข้าใจได้ว่าระบบขนส่งช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้อย่างมากโดยการให้บริการตรงจากชุมชนบนเทือกเขาสู่จุดต่างๆในหุบเขาแทนที่จะต้องให้ชาวบ้านเดินทางด้วยความยากลำบากผ่านเส้นทางทุรกันดาร

 

เมื่อรถที่ผมโดยสารขับเคลื่อนอย่างยากลำยากผ่านถนนที่แออัดนอกเมือง สารพัดผลงานสรรค์สร้างจากโลหะตั้งตระหง่านตามเส้นทางไปสู่เมือง รวมถึงหนึ่งในผลงานสุดอัปลักษณ์เกินบรรยาย อนุสาวรีย์แห่ง ชิ เจวารา ทำจากชิ้นส่วนโลหะรวมทั้งอะไหล่รถ เฟือง ล้อ และส่วนอื่นๆ สูง 30 เมตร และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ผมสังเกตสารพัดงานศิลปะเมื่อผมเดินทางในประเทศ แต่ไว้ผมค่อยเล่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ลาปาซได้ถูกจดจำว่าเป็นเมืองที่มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลRead more...

อ่านต่อไป...