ลาวรักษาวิถีชีวิตที่สงบสุข

เปิดประตูโลกทัศน์สู่เมืองลาว

ผมย้ายไปอยู่และทำงานที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้สักระยะหนึ่งแล้ว และถึงแม้ผมควรจะเล่าเกี่ยวกับชีวิตในเมืองไทยให้คุณฟังต่อ แต่เมื่อเอดิเตอร์ภาษาไทยของผมส่งข้อความถี่ๆอย่างบ้าคลั่งจนผมสติแตกต้องทำตามที่เธอขอร้องแกมบังคับ แล้วหันมาเขียนเกี่ยวประเทศลาวในปัจจุบันแทนการเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยในอดีตต่อ ผมจะไม่เริ่มต้นจากช่วงปัจจุบัน แต่จะเล่าถึงเมืองลาวในอดีตแล้วค่อยแทรกช่วงปัจจุบันเพิ่มเติมเข้าไปสักนิดหน่อย ถือเป็นความผิดของเอดิเตอร์เลย ที่ผมจะไม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในวงการไปอีกหลายอาทิตย์

น่าแปลก ถึงแม้ผมจะท่องรอบโลก แต่ผมกลับมีโอกาสเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้อยมาก อาจจะเพราะประโยคติดหที่ว่าู “ใกล้แค่นี้ หยุดสุดสัปดาห์ค่อยไป” สุดสัปดาห์หรือจะหนึ่งสัปดาห์ไม่เคยเป็นเรื่องจริงจัง

แม้ว่าผมจะเคยไปลาวครั้งหนึ่งในช่วงต้นหรือราวกลางยุคเก้าศูนย์ เมื่อท่านนายกช็อง เครชเชียนได้มีการผลักดันการลงทุนในเศรษฐกิจทั่วโลกโดยคณะ “ทีมแคนาดา” ของท่าน ด้วยการรวมทีมประมาณ 15 ผู้นำด้านธุรกิจในแคนาดา ผมเดินทางทั่วภาคอีสานของประเทศไทย ผ่านจังหวัดต่างๆ เช่น โคราช ขอนแก่น และอุดรธานี ก่อนข้ามชายแดนและเดินทางต่อไปยังเวียงจันทร์ ผมมีบทบาทเป็นล่ามให้ท่านทูตแคนาดาในขณะนั้นซึ่งเดินทางไปในนามหัวหน้าคณะนักธุรกิจ

เมื่อยี่สิบปีก่อน

ลาวและเวียงจันทร์ในยุคเก้าศูนย์นั้นมีความแตกต่างจากภาพตัวเมืองและโดยรอบในปัจจุบันอย่างมาก ผมยังจำได้ถึงการเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของลาวในขณะนั้นเบียร์ลาว การมีโอกาสชมขั้นตอนการผลิตเบียร์ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทริปเลยทีเดียวและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ดื่มด่ำกับเบียร์ลาวในช่วงค่ำคืนนั้น และอาจเป็นการจะชื่นชมรสชาติที่มากเกินไปแต่มันก็เยี่ยมยอดมากเท่าที่ผมจำได้ พวกเราใช้เวลาในช่วงเช้าก่อนทัวร์โรงกลั่นเบียร์เข้าฟังการบรรยายพรีเซ้นท์หัวข้อต่างๆเกี่ยวกับสภาพธุรกิจและกฏระเบียบของประเทศลาว โดยทางแคนาดาได้มีการบรรยายหัวข้อเกี่ยกับศักยภาพความพร้อมและแนวคิดทางธุรกิจที่จะอาจนำมาใช้กับประเทศลาว ตลอดช่วงเช้าเป็นการทดสอบทักษะความสามารถทางการใช้ภาษาของผมอย่างเต็มที่ ผมต้องสารภาพถึงนิสัยเสียอย่างหนึ่งของผม การเลียนแบบวิธีการพูดและสำเนียงของผู้อื่น เช่นถ้าผมอยู่กับชาวออสซี่ ผมก็จะเริ่มติดสำเนียงออสซี่เห่ยๆเวลาออกเสียงคำบางคำ ผมทำเช่นเดียวกันตอนอยู่ในรัฐทางใต้ของอเมริกาโดยไม่รู้ตัว ลอกเลียนแบบสำเนียงของพวกเขา แต่เมื่อต้องทำงานอย่างเป็นทางการ แน่นอนสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ควรเกิดขึ้น แต่บางครั้งผมก็จับตนเองได้ว่าผมแทรกสำเนียงลาวเมื่อแปลไทย เช่นการออกเสียง “ช” เป็น Read more...

อ่านต่อไป...

อาหารไทยในรูปแบบต่างๆ

คุณชอบอาหารไทยไหม?

แต่ละวัฒนธรรมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการทำอาหาร และไม่มีสิ่งใดที่ชนชาติไทยจะภูมิใจมากไปกว่าอาหารประจำชาติ แล้วก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แรกเริ่มเดิมทีอาหารจานประจำของผมคือข้าวมันไก่แม้ว่าผมจะเบื่อกับมันแต่ผมสั่งได้แค่นั้น มันก็เป็นอาหารจานเหมาะหากคุณหาอะไรอย่างอื่นไม่ได้ มันป็นอาหารสิ้นคิด แต่ที่จริงแล้วยังมีอาหารอื่นๆอีกหลากหลายพันเมนูที่คุณสามารถเลือกได้ตามชอบใจ

สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะต้องทำความคุ้นเคยคือระดับความเผ็ดร้อนที่อยู่ในอาหารแต่ละชนิด และแต่ละความพึงพอใจของผู้ปรุงอาหารจานนั้นๆ คุณสามารถสั่งอาหารเมนูเดียวกันจากห้าสิบร้าน โดยที่หน้าตาและรสชาติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สำหรับผู้มาเยือนหน้าใหม่ ถ้าคุณอยากจะใช้เวลาในการเรียนรู้สถานที่ต่างๆและผู้คน คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่เกินกว่าจะคาด ประสบการณ์สุดสยองพองขนที่ผมเคยเปิบพิศดารมาแล้วคือหนูนาและงูเห่า แต่สำหรับคนอื่นๆ สิ่งที่่พวกเขาได้ทดลองชิมนั้นสาหัสยิ่งกว่า เริ่มตั้งแต่แมลงสารพัดชนิด เช่นแมลงที่มีลักษณะเหมือนแมลงสาบทอด ไปจนถึงตั๊กแตน ไข่มดแดง และหนอนที่รู้จักกันดีในชื่อ “รถไฟด่วน” และแม้กระทั่งตีนไก่ ไหนยังจะมีสารพัดน้ำพริกมากกว่าร้อยสูตรจากส่วนผสมสุดเลิศรส แต่ที่อร่อยสุดมักเป็นสูตรโบราณดั้งเดิม

ส่วนผสมจากอเมริกาใต้

เริ่มมีการนำพริกเข้ามาใช้ในครัวไทยโดยชาวโปรตุเกส ซึ่งแน่นอนพริกไม่ใช่เครื่องปรุงพื้นบ้านของไทย พวกมันถูกนำเข้ามาจากทวีปอเมริกาใต้ ผลลัพธ์ที่ได้นำความแปลกใหม่มาสู่ครัวไทยอย่างเกินคาด ผมไม่เคยอ่านเจอบทความว่าความเผ็ดซ่อนลิ้นนั้นมีต้นกำเนิดเมื่อไหร่แน่ แต่มันได้แพร่หลายสู่ภัตตาคารชั้นนำในเมืองหลักๆทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทยเอง คุณไม่สามารถเดินไปที่ไหนโดยไม่ชนกับร้านขายอาหารตามข้างทาง ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู อาหารทะเลสดๆ หรือแม้แต่สารพัดข้าวราดแกง อย่างแน่นอน หนึ่งในเมนูก๋วยเตี๋ยวชามโปรดของผมคือสูตรจากภาคเหนือที่ชื่อ “ข้าวซอย” ซึ่งเป็นเมนูที่ผสมผสานระหวางน้ำแกงแบบกะทิคลุกเคล้ากับเส้นบะหมี่ผสมด้วยไม่เนื้อไก่ก็เนื้อวัว จะว่าไปก็แทบจะเปรียบได้กับสตูว์น้ำกะทิข้นๆใส่เส้น Read more...

อ่านต่อไป...

ลิมาเหนือและใต้พื้นดิน

กะโหลก   จารึกโบราณ   มรดก

ดื่มด่ำอย่างเต็มที่จากปิสโก ผมเดินกลับมาที่จตุรัสกลางเมืองเก่า ที่มีชื่อ Plaza Mayor แล้วก็หาทางไปสุสานต่อ สุสาน ใช่ ผมรู้ดี ใครที่สติดีจะลัดเลาะเข้าไปในสุสานเพื่อจะดูอะไร ผมเกลียดภาพยนตร์สยองขวัญสั่นประสาท จะดีเสียกว่าไหมถ้าผมไม่ต้องช็อคตายทุกห้านาที แต่มันก็ยังมีความพิศวงอย่างประหลาดที่ทำให้ผมอยากจะค้นหาสุสานของอารามซานฟรานซิสโก

ที่แรกที่ผมเดินเข้าไปคือวังของสังฆนายกของลิมา และถึงแม้ผมจะต่อต้านการสนับสนุนวิถีการใช้ชีวิตที่หรูหราฟูฟ่าของชนชั้นสูงที่ความร่ำรวยได้มาจากการทำนาบนหลังผู้ด้อยโอกาส แต่การจ่ายค่าเข้าชมพิพิพิธภัณฑ์นั้นก็เพื่อนำมาบูรณะพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เข้าชมและเรียนรู้ศิลปะคริสต์ที่แทรกตัวอยู่ในชิ้นงาน บ้านพักยังคงเปิดให้บริการอยู่และดูใหม่ถึงแม้จะสร้างมาตั้งแต่ปีคศ. 1924 ตัวอย่างศิลปะและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของยุคนีโอโคโลเนียลที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ การตกแต่งภายในของวังมีความสวยหรูตระการตา เพดานส่องสะท้อนเป็นประกายจากกระจกหน้าต่าง ขั้นบันไดหินอ่อน รูปปั้นแกรนิตของเซนต์ตูริเบียสแห่งม็องโกวิโย เทพผู้พิทักษ์แห่งอัครสังฆมณฑล

วิหารลิมา

ผมเดินชมไปตามห้องต่างๆในชั้นล่าง ดูข้าวของที่จัดแสดง ทั้งที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อทางศาสนาและศิลปะอื่นๆ ตั้งแต่ภาพวาดการตรึงกางเขนจนถึงรูปปั้นองค์พระแม่มารี เดินวนจนทั่วอีกรอบ ขึ้นบันไดหินอ่อนต่อเนื่องไปยังชั้นสอง ซึ่งมีข้าวของมากขึ้นในห้องต่างๆ และต้องกำหนดจิตคุมความคิดที่ว่า นี่คือพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่พื้นที่สำนักงาน เพราะมันมีความแตกต่างกันมากระหว่างการสอนให้รู้จักแยกแยะความละอายที่โอ้อวดกับโลกแห่งความเป็นจริง เดินขึ้นไปอีกชั้น ผมมาถึงมุมที่สะกดความสนใจจากผมอย่างมาก ตำราโบราณที่จารึกลายมือลงบนแผ่นหนังสัตว์วางเรียงกันเป็นตั้ง บทบันทึกของประวัติศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหกเป็นต้นมา น่าเสียดายที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมใกล้ๆได้ ผมจึงทำได้แค่ชื่นชมอย่างหลงใหลด้วยสายตา จ้องมองสิ่งของแวววาวที่จัดแสดงอีกครั้ง แล้วก็รีบขึ้นไปชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องสวดมนต์ Read more...

อ่านต่อไป...

ปลอดภัยหรือเป็นพิษ – จงระวัง!

สารพันชีวิตสัตว์โลกที่นี่ช่างน่ามหัศจรรย์เสียนี่กระไร

ไม่มีอะไรในโลกนี้เหมือนกับการพยายามทำตัวให้คุ้นชินกับสัตว์เลื้อยคลานสารพัดชนิดที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ผมใช้เวลาหกสัปดาห์แรกที่ชายทะเลและหนึ่งในสิ่งเพลิดเพลินที่ได้ถูกแนะนำ นั่นก็คือการได้รู้จักทักทายกับเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวจิ๋วที่ออกมาเป็นพรวนในเวลาค่ำ รวมตัวเกาะกลุ่มกันอยู่บนเพดานรอบหลอดนีออน “จิ้งจก” คือชื่อที่พวกมันถูกเรียก และใช่มันคือสิ่งมีชีวิตตัวจิ๊ดริ๊ดน่ารัก แค่อย่าได้ริเอามันมาแปะบนส่วนใดๆของร่างกายผม ถึงแม้จะมีความเชื่อว่าหากมันตกใส่คุณมันจะนำพาความโชคดีมาให้

นั่งชิลล์อ่านหนังสือน่าเบื่อในยามค่ำ ไม่มีอะไรจะเพลิดเพลินไปกว่าการนั่งจ้องเจ้าพวกจิ้งจกตัวน้อยไต่คืบคลานบนเพดาน พุ่งลิ้นตะปบแมลงหรือเกาะนิ่งสนิทไร้การไหวติง มีการแบ่งสถานะชนชั้นของเผ่าพันธุ์ จิ้งน้อยย่อมหลีกทางแก่จิ้งเฒ่า หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสร่วมสัมผัสประสบการณ์ ฉากการรุกล้ำเขตแดนของผู้เฒ่าจากเจ้าจิ้งจกเลือดหนุ่ม เริ่มจากเสียงร้องเตือน ตามด้วยการตวัดหางกระดิกขึ้นลงไปมา ในขณะที่ร่างเริ่มขยับพุ่งเข้าหาผู้ล้ำดินแดน ทันใดนั้นการจู่โจมพันตวัดของสองร่างปลุกปล้ำกันระหว่างเจ้าถิ่นและผู้ลุกล้ำไล่ล่ากันอย่างบ้าคลั่งอยู่บนเพดาน แก่งแย่งช่วงชิงกรรมสิทธิ์ดินแดน ศึกกบฏตัวน้อยที่แสนจะเพลิดเพลินได้อรรธรสในการรับชม

นอกจากนี้ยังมีเจ้าตัวที่ดุกว่าซึ่งเป็นเครือญาติร่วมวงศ์ตระกูล “ตุ๊กแก” คือชื่อเรียกและการจำแนกชนิดที่แตกต่างของพวกมัน หรือที่ในภาคเหนือเรียกพวกมันว่า “ตุ๊กต่อ” เจ้าพวกนี้หน้าตาช่างขี้เหร่ยิ่งนัก และคุณก็ไม่อยากเห็นมันสิงสถิตย์อยู่ในบ้าน เพราะมันขับถ่ายไปทั่ว แล้วคุณก็นอนแทบไม่หลับเพราะเสียงร้องของพวกมัน ผมได้พบกับหลายคนที่แค่ได้เห็นมัน ก็กลัวจนถึงขั้นตัวแข็งทื่อและเป็นลมล้มพับกันเลยทีเดียว และพวกมันก็เป็นสัตว์ที่ชอบเอาไว้หลอกเด็กเล็กๆให้กลัว

ตุ๊กแกจะมาจับตัวหนูแน่ถ้ายังขืนไปที่นั่น เจ้าตุ๊กแกมันจะกัดหนูแน่ถ้าไม่รีบเข้านอนเสียแต่ตอนนี้”

แต่สัตว์พวกนี้ก็ยังไม่มีอะไรน่ากังวลนัก เพราะมันยังมีแมลงสาบยักษ์ที่ขนาดเท่ากับหนูหริ่ง และผมก็ไม่พิศวาสมันอย่างแน่นอน ผมหมายถึง “โน โน โน” ไม่มีทางที่ผมจะรับมันได้ ผมเกลียดแมลงเข้าไส้ แล้วก็ดูเหมือนเมืองไทยจะเป็นถิ่นที่พวกมันรักยิ่งเสียเหลือเกิน และแม้แต่ระเบิดขีปนาวุธที่ฆ่าทำลายล้างโลกก็ไม่สามารถกำจัดพวกมันให้สิ้นซากได้ พวกมันจะยังคงมีชีวิตเดนตายสืบเผ่าพันธุ์กันต่อไปตราบกาลปวสาน

แมงป่องสีแดงและเงาดำ …

นอกจากนั้นยังมีเจ้าแมงป่อง ตัวเล็กสีแดง Read more...

อ่านต่อไป...

การรับรู้และความเป็นจริงในประเทศไทย

คุณชอบประเทศไทยไหม

หนึ่งในคำถามที่คุณจะต้องถูกถามอย่างแน่นอนภายในวันหรืออาทิตย์แรกที่มาถึงเมืองไทย

คุณชอบประเทศไทยมั้ย”

จะให้คุณพูดว่าอะไร ผมหมายถึงคุณมาที่นี่เพื่อเที่ยวพักผ่อนหรือไม่ก็ทำงาน คุณเพิ่งมาถึงและก็มีเวลาอย่างน้อยอีกสองปี

ไม่ ผมเกลียดที่นี่สุดๆ ร้อนมาก สกปรกมาก ผู้คนก็ช่างซัก และเบียร์ก็ใส่น้ำแข็ง” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะตอบแน่นอน

ในขณะที่ผมเริ่มต้นเขียนอยู่นี้ ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ นึกถึงว่าถ้าเป็นตอนนี้แล้วผมควรจะตอบคำถามพวกนั้นอย่างไร หลายอย่างเปลี่ยนไปมากภายในสามสิบปี เมื่อถามคำถามหลังจากที่เพิ่งมาถึงและอยู่ในประเทศได้เพียงไม่กี่เดือน ผมก็โลกสวยเห็นทุกสิ่งสวยงาม และประเทศนี้ไม่ต่างจากสวรรค์บนดิน มีอะไรอื่นๆอีกที่ผมจะอยากได้ ผมมีโอกาสใช้เวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืนในเมืองหลวงที่ระทึกครึกโครมที่สุดเมืองหนึ่งของโลกในขณะนั้น แล้วก็ได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ถึงหนึ่งเดือนที่ชายทะเล ผมได้เริ่มทำงานในสถานที่สวยงาม ได้พบป่ะผู้คนที่ยอดเยี่ยม แล้วบางคนก็กลายเป็นเพื่อนที่มีมิตรภาพอันยาวนานที่ดีต่อกัน แน่นอนตอนนั้นผมยังไม่มีโอกาสได้เรียนรู้มากนัก และไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ หรือคอรัปชั่น และอะไรอื่นๆ ผมว่าสำหรับผู้มาใหม่ วิธีที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบ คือมีสติและสงบปาก แทนที่จะประกาศก้องว่าประเทศนี้ยอดเยี่ยม สวยงาม และผู้คนดีเยี่ยมแค่ไหน ตรงกันข้ามซึ่งดีพอๆกันคือการสงบปากไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรืออะไรก็ตามที่อาจถูกตีความเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ ดีที่สุดคือวางตัวเป็นกลาง และนั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้องที่คุณควรทำ

ยากที่จะหาคำตอบ

ยิ่งผมย้อนกลับไปอ่านประโยคตอนต้นเหล่านั้น ยิ่งยากที่ผมจะเขียนต่อหรือใส่เนื้อหาที่ถูกต้อง ในตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้การทำตัวไปตามน้ำ การตอบคำถามโดยไม่ต้องมีคำตอบ การอ่านนัยจากบทสนทนา และบ่อยครั้งมากพอที่จะมุ่งความสนใจไปทางอื่น เมื่อบทสนทนาเริ่มไม่ใช่อะไรที่ผมอยากคุยต่อ

มีหลายครั้งที่คนขับแท็กซี่พูดถึงชีวิตที่ดี และความสงบสุขกับวิถีชีวิตในต่างจังหวัด พวกเขาคาดหวังจะหาเงินได้มากพอที่จะส่งลูกๆเข้าโรงเรียนดีๆ Read more...

อ่านต่อไป...