จากเกษตรกรรมสู่โทรทัศน์ …
ผมควรจะเริ่มต้นทิศทางการเขียนใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจุบัน แต่หากปราศจากที่มาที่ไป จะมีปัจจุบันได้อย่างไร ผมจึงจำเป็นต้องเท้าความถึงอดีตและจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งปวง บางครั้งชีวิตมีการหักมุมแปลกๆ และย้อนกลับไปเมื่อตอนผมอายุ 25 อยู่ในประเทศที่แปลกประหลาดและวัฒนธรรมที่มีภาษายากเกินกว่าจะเข้าใจ ผมยอมรับว่ามีหลายครั้งในช่วงการทำงานสองปีแรกที่แทบจะถอดใจเก็บกระเป๋าแล้วจองเที่ยวบินแรกกลับบ้าน เมื่อเกิดอารมณ์นั้นขึ้น ผมอยากจะโทรหาสำนักงานที่กรุงเทพฯ และด้วยคำพูดทื่อๆไม่กี่ประโยคที่ชัดเจนว่าผมเกินพอแล้ว พวกเขาก็น่าจะจับผมขึ้นเครื่องเที่ยวถัดไปแล้วส่งไปไหนสักที่ ที่ไหนก็ได้ ไม่แคร์แล้ว ณ จุดนี้ ขอให้พ้นจากประเทศไทยเป็นใช้ได้ แต่ทุกครั้งพวกเขาก็จะบอกให้ผมไปทะเลในช่วงวันสุดสัปดาห์ หรือไปเที่ยวเขา เข้าร่วมงานสังสรรค์หรืออะไรสักอย่างสักสองสามวัน และหลังจากได้ปลีกตัวไปพักผ่อนสักอาทิตย์ ชีวิตก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น น่าสนใจขึ้น แล้วหลังจากนั้นงานก็ดูเหมือนจะไม่เลวร้ายอีกต่อไป
และเมื่อผมใกล้จะหมดสัญญาปีที่ 3 ผมเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ ดูเหมือนจะมีงานกับบริษัทหนึ่งที่ทางภาคเหนือ หรือไม่ก็บินกลับแคนาดาแล้วทำตัวให้คุ้นเคยกับสังคมที่นั่น ไม่ว่าจะทางเลือกไหนก็ไม่มีอะไรแย่สำหรับผม แต่หากได้งานที่เมืองไทยก็ย่อมดีกว่าเพราะภาษีและค่าครองชีพนั้นถูกกว่าเยอะ และในขณะที่ผมรอคำตอบ เดือนกันยายนก็สิ้นสุดลงอย่างช้าๆ พร้อมการเริ่มต้นของเดือนตุลา ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายก่อนหมดสัญญา ทุกอย่างเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แล้วใครคนหนึ่งก็ชะโงกหัวมาบอกผมถึงสายที่เรียกเข้าจากกรุงเทพฯ ถึงจะไม่รู้ว่าใครโทรมา แต่ก็คิดว่าคงเป็นเพื่อนคนไหนสักคนโทรมาชวนไปกินข้าวหรือไม่ก็ไปไหนสักที่ด้วยกันช่วงสุดสัปดาห์ ผมลุกขึ้นเดินเอื่อยๆอย่างไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนักไปยังส่วนหน้าออฟฟิศเพื่อรับสาย
โทรศัพท์ …
สรุปว่าไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเพื่อนของเพื่อนของหนึ่งในครูสอนภาษาไทยของผมเมื่อสามปีก่อนที่ผมยังติดต่ออยู่แต่ไม่บ่อยนัก สิ่งที่อธิบายถึงเหตุผลที่โทรมานั้นน่าสนใจยิ่งนัก และผมก็ไม่แน่ใจนักว่าควรจะตอบกลับอย่างไร ยาวและสั้นของเรื่องนี้ก็ประมาณว่า คนที่โทรหาผมโทรมาในนามของผู้ผลิตการสร้างรายการเกมโชว์ทางทีวีรายการดังที่สุดในเมืองไทย รายการ “มาตามนัด” ในขณะนั้นได้ชื่อว่าเป็นรายการที่เรตติ้งพุ่งทะลุเพดาน … Read more...
อ่านต่อไป...