เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย

สามสิบปีแล้วและก็ยังนับกันต่อไป

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาผมมีความคิดเล่นๆกับการอยากบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของผมในประเทศไทย นับมาได้ราวสามสิบปีแล้วและก็ยังนับกันต่อไป บางครั้งมันก็ตลกดีที่ได้เห็นปฏิกิริยาของคนที่ถามผมว่าผมอยู่เมืองไทยมานานแค่ไหนแล้วและผมก็ตอบว่าบางทีอาจจะมากกว่าอายุของเขาเสียอีก กับเพื่อนบางคนผมอาจจะทำลิสต์ชื่อคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยที่พวกเขารู้ว่าอยู่มานานกว่าผม แน่นอนเขาเหล่านั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่จำนวนก็เริ่มลดลงเรื่อยๆเมื่อนับจำนวนผู้ที่อยู่ได้ถึงหรือมากกว่าสามสิบสี่สิบปี

เมื่อไม่นานมานี้ผมเริ่มทำบล็อก และเรื่องที่คุณกำลังอ่านอยู่ขณะนี้ก็คือส่วนหนึ่งของบล็อกkensdaysandtravels” นั่นแหละ หลักๆก็คือผมอยากจะแชร์เรื่องราวการเดินทางตลอดหลายปีที่ผ่านมาของผม การท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องและยาวนานไปยังทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงการเดินทางก่อนหน้านี้ที่ไปทวีปแอฟริกา ยุโรป เอเชีย จะว่าไปก็ทุกที่นั่นแหละยกเว้นทวีปแอนตาร์กติก และในขณะที่ผมเริ่มเขียนเรื่องเหล่านี้ ผมก็เริ่มคิดว่าผมน่าจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยได้มากพอควรทีเดียว การมีบล็อกที่เขียนถึงสองเรื่องในหนึ่งอาทิตย์นั้นแน่นอนย่อมต้องใช้ข้อมูลมาก บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่จะนำข้อมูลตลอดสามสิบกว่าปีที่อยู่ในประเทศนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเขียนเรื่องลงบล็อกของผม การเริ่มต้นที่น่าจะดีที่สุด แน่นอนว่าควรจะเป็นว่าผมมาอยู่เมืองไทยอย่างไรและทำไมและบางทีนั่นก็คือจุดที่ผมจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราว แต่บางครั้งการจัดลำดับก่อนหน้าหลังของเรื่องที่จะเขียนนั้นช่างยากยิ่ง และผมก็อาจจะเล่าเรื่องสลับกันโดยไม่ตั้งใจจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสลับกับเรื่องเมื่อชาติที่แล้วก็เป็นได้

สิทธิ์แสดงความเห็น

แรกเริ่มที่ผมเขียนบทนี้ ผมว่าจะแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับบางหัวข้อทางการเมือง บางมุมมองเกี่ยวกับศาสนา และการได้เห็นพฤติกรรมแปลกๆของความเป็นไปของสังคมที่ผ่านมาและปัจจุบัน ผมเขียนไปได้สองสามย่อหน้าแล้วแหละ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าตอนนี้อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการแสดงความเห็นที่ตรงไปตรงมาอย่างสุดขั้วต่อประเด็นเหล่านั้น บางทีผมอาจเขียนถึงเรื่องพวกนั้นต่อไปในอนาคต และเก็บรวบรวมบันทึกพวกนั้นไว้ใช้สรุปในตอนท้ายแทน ยังมีอีกหลายประเด็นและเรื่องราวที่ผมอยากหยิบยกมาเขียนถึง และเมื่อเรื่องราวดำเนินไป ผมก็จะค่อยๆเผยหัวข้อเหล่านั้นออกมาทีละนิด ถึงแม้ประเด็นเหล่านั้นมันอาจจะไม่มีผลอะไรต่อผม แต่อย่างน้อยผมก็ได้แสดงความคิดและความเห็นเกี่ยวกับมัน ซึ่งความคิดเห็นและทัศนคติของผมนั้นอาจจะแตกต่างโดยไม่ตั้งใจจากมุมมองของนักท่องเที่ยวผู้ซึ่งเพิ่งมาเยือนหรือความสวยงามอย่างสมบูรณ์แบบในแผ่นโปสเตอร์โฆษณาเชื้อเชิญของการท่องเที่ยวRead more...

อ่านต่อไป...

การเดินทางเพื่อลดน้ำหนัก … สนุกกว่าการอดอาหารและยิม

การเดินทางเพื่อลดน้ำหนัก … สนุกกว่าการอดอาหารและยิม

ผมหนักถึง 100 กิโลกรัมตอนผมออกจากแคนาดา นั่นก็ประมาณ 220 ปอนด์ และผมสูง 1.88 เมตร (6 ฟุต 2 นิ้ว ถ้านับแบบเก่า) ผมกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะมันจะมีบทบาทสำคัญต่อเรื่องราวทั้งหมด ถึงแม้ว่าผมจะใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงตอนที่ผมอยู่มหาวิทยาลัยในแคนาดา การปั่นจักรยานและการเดินออกกำลังก็ไม่ได้ผลอะไรนักกับสิ่งที่ผมหวังว่ามันจะช่วยได้ และนั้นก็คือการกระชากไขมันออกจากร่าง เป้าหมายคือต้องกลับไปที่น้ำหนัก 88 กิโลเพราะหลังของผมเริ่มบ่นกับการขยายของไซส์พุง และเข่าผมถึงแม้จะยังไม่ได้กู่ก้องประท้วง แต่มันก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้ว คาดว่าอาหารที่ผมกินติดต่อกันมาตลอดมันปริมาณมากเกินไปเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอที่จะเผาผลาญส่วนเกินออกได้หมด เมื่อผมกลับจากทวีปอเมริกาใต้ ผมหนัก 88 กิโล ผมเอาชนะมันได้ในเวลาเพียงสองเดือน ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้แม้แต่หกเดือนถ้าอยู่บ้าน ผมกินปกติ วันละสามมื้อ แต่เพราะผมทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เดินและปีนเขาไม่หยุดหย่อน นั่นแหละผมถึงพิชิตมันได้ ที่น่าแปลกมากเช่นกันคือ ในระหว่างการเดินทางนั้นผมไม่เคยป่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว (ไม่นับอาการมึนเวียนในที่สูง) ผมไม่เคยมีปัญหาท้องไส้ปั่นป่วน หรือแม้แต่เป็นหวัดหรือเป็นไข้ ทั้งที่มีช่วงเวลาหลายวันที่ไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นเลย ผมเดินฝ่าห่าฝน อากาศเยือกแข็ง สลับกับสภาพร้อนชื้น แต่กระนั้นผมก็ยังแข็งแรงมาก ร่างกายที่ฟิตคือผลพลอยได้ที่ดียิ่ง

ข้าวโพดและอาหาร

Read more... อ่านต่อไป...

สัมผัสกับความหลงใหลในโคลัมเบีย

colombia is passionดนตรี อาหาร วัฒนธรรม ศิลปะ และประวัติศาสตร์ทุกอย่างเป็น Passion in Bogota

ผมมีรูปอยู่ที่ไหนสักที่ รูปที่ผมถ่ายเมื่อวานตอนผมอยู่ในโคลัมเบีย ภาพของสติกเกอร์หลังท้ายรถแวนที่บอกว่า “Colombia es Pasion” (โคลัมเบียเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลงใหล) ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และจากสติกเกอร์ที่พวกเราเห็นจำนวนมากระหว่างทาง ผมว่าอันนี้นี่แหละที่บรรยายประเทศนี้ได้อย่างเจ๋งสุด บ่อยครั้งที่เวลาเราเจอคำแบบ “ความหลงใหล” เรามักจะจินตนาการต่อถึงห้องนอนและอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในนั้นทันที แต่โคลัมเบียมีอะไรต่อมิอะไรที่แสดงออกถึงความหลงใหลในด้านอื่นๆอยู่อีกมาก ถึงแม้ว่าในแต่ละประเทศคุณมักเจอผู้คนพร่ำบ่นเกี่ยวกับนักการเมืองของพวกเขาและเรื่องสารพัดเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ยังจะได้พบพานผู้คนที่แสดงออกถึงความรักในทุกอย่างของประเทศเขา และโคลัมเบียก็ไม่ต่างกัน ความหลงใหลเกี่ยวกับเรื่องการเมือง การแลกเปลี่ยนทัศนะที่ทวีความร้อนแรง แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องสำหรับคนพื้นที่ ไม่ใช่ผู้มาเยือน และในฐานะผู้มาเยือนคุณจะสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าความเป็นชาวโคลัมเบียคือ อาหาร เพลง ชายหาด กาแฟ ศิลปะ และยิ่งกว่านั้น – ความงามของประเทศนี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะเดือดพล่านและขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ที่โบโกตา – ผมควรจะบันทึกที่นี่ไว้เพราะผมเคยอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เมื่องที่ตื่นตลอดเวลาจนแทบจะไร้จุดเชื่อมต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน และคุณก็มั่นใจได้เลยว่าคุณจะสามารถทำอะไรต่อมิอะไรหรือหาแหล่งของกินได้ในมื้อดึก (แค่ต้องระวังตัวหน่อยว่าจะไปแถวไหน)

วิวจากยอดเขาเซอโรเดอม็องเซอเรตในช่วงบ่ายและเริ่มพลบค่ำช่างงดงามวิจิตรตา แค่จำไว้ว่าอากาศที่บางเบาในพื้นที่สูงอาจทำให้คุณต้องเคลื่อนตัวอย่างสบายๆและช้าๆ ทุกย่างก้าวเมื่อคุณถึงบนนั้น รถรางหรือรถสายพานจะพาคุณขึ้นไปสู่ยอดเขา

 … Read more...

อ่านต่อไป...

เดินทางเพื่ออวด หรือประสบการณ์การเรียนรู้

ระยะทาง…

แผนหลักถูกปรับเปลี่ยน ตัวผมก็เช่นกัน จากแผนการเดินทางระยะทางเดิม 9,400 กิโลเมตร เปลี่ยนเป็นเดินทางเพิ่มขึ้นทั้งหมดเป็นระยะทาง 14,300 กิโลเมตร ในเวลา 60 วัน บางช่วงต้องบินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการเดินทางอย่างยาวนานขึ้นโดยรถโดยสาร ซึ่งผมไม่อยากจะเพิ่มเข้าไปเลยถ้าไม่จำเป็น จากการเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทางไปเวเนซูเอลาที่ตอนแรกว่าจะบินไปเป็นเดินทางทางบกแทน ผมเลยเปลี่ยนการเดินทางจากคูคูตาไปคาลิจากรถเป็นบินไปแทน ดีงามมากเลยที่มีเครือข่ายสายการบินจำนวนมากในทวีปอเมริกาใต้ สารพัดเส้นทางให้คุณเลือกได้ตามที่ต้องการ และค่าตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวก็แสนถูก แค่แพงกว่าค่ารถโดยสารเพียงนิดหน่อยเท่านั้น หนำซ้ำยังช่วยประหยัดเวลาไปได้อีกมากโข เคล็ดลับคือใช้บินเฉพาะเมื่อบินภายในประเทศเท่านั้น ข้ามเส้นเขตแดนเมื่อไหร่ราคาแพงลิบเลย หลายไฟลท์ช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางขึ้นมาก รวมถึงการบินจากทูเบสซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเปรูไปยังลีม่า จากลีม่าไปกูซโก จากซานติเอโก ไปเปอโต มอนต์ และบินจากคูริติบาไปริโอ ระยะทางรวมทั้งหมดราว 4,000 กิโลเมตร ดังนั้นตอนท้ายของทริป ผมจึงเพิ่มระยะการเดินทางทางบกขึ้นเพียง 1, 000 กิโลเมตร (ดูแผนที่การเดินทาง) (สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับสายการบิน กดอ่าน: ทางเลือกในการเดินทางทวีปอเมริกาใต้)

ไม่เอา สารพัดรายการ ไม่เอา ร้อยรายการที่ต้องทำก่อนตาย

Read more... อ่านต่อไป...

เมื่อแผนล้มเหลวและคุณนึกในใจ @#%@^!!!

ความหวังกับความเป็นจริง

แผนการท่องเที่ยวสุดอลังของผมคือการเดินทางครอบคลุมเก้าประเทศในระยะเวลาสิบสัปดาห์ เป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปกระมัง และตารางเดินทางก็แทบจะไม่มีวันหยุดพักเลย ตั๋วเครื่องบินของผมจะบินจากโบโกตาก่อนจะต่อไฟลท์ไปที่คารากัส ผมอยากจะดูสถานที่ที่ กูซตาโว ดูดาเมล ได้จัดคอนเสิร์ตซิมโฟนีมาเลอร์ หมายเลข 8 ซึ่งเป็นชิ้นดนตรีที่ผมชอบมากอีกชิ้นหนึ่ง ผมเตรียมที่จะพักสองคืนในคารากัส ในขณะเดียวกันก็ให้เพื่อนของผมช่วยหาข้อมูลการเดินทางจากคารากัสไปน้ำตกแองเจิลฟอล น้ำตกที่สูงที่สุดในโลกจากข้อมูลในวิกิพิเดีย ซึ่งสูงประมาณ 807 เมตร มันจะต้องเป็นการผจญภัยที่สนุกอย่างแน่นอน หนึ่งในไฮไลท์ของทริปนี้ทีเดียว พร้อมไปกับการบินด้วยเครื่องบินใบพัด ต่อด้วยล่องเรือเต็มวันอีกหนึ่งวัน ตั้งแค้มป์อีกหนึ่งคืน และปิดท้ายด้วยการปีนเขา เพื่อที่จะชื่นชมวิวที่งดงามเกินบรรยายของน้ำตกแห่งนี้ และที่ดีที่สุดคือ ทุกอย่างในเวเนซูเอลาช่างแสนถูก ค่าแลกเปลี่ยนพันโบลิวาร์แค่ประมาณหนึ่งดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น แถมค่าน้ำมันแค่เพียงสองเซนต์ต่อลิต

เมื่อมีประตูปิดที่ไหนสักแห่ง

แต่แล้วสองอาทิตย์ก่อนจะออกเดินทาง ผมได้รับอีเมลว่า “เคน ฉันต้องขอยกเลิกการจองห้องพักของคุณ ฉันจะทนแล้วกับความบ้าบอของประเทศนี้ ฉันไปดีกว่าไม่เอาด้วยละ โชคดีนะกับการเดินทาง”

ดูเหมือนการเดินทางของผมจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว ผมเลยต้องรีบหาทางเลือกอื่นก่อน ในเมื่อแผนการเดินทางที่ผมคิดกลับกลายเป็นฝันสลาย แต่แล้วผมก็ได้รับอีเมลจากเพื่อนอีกคนเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนที่จะออกเดินทาง

โง่รึไง ไม่มีทางที่คุณควรจะบินไปยังคารากัสและลงเครื่องตอนตีหนึ่ง ช่วงกลางวันก็แย่พออยู่แล้ว จะมาลงเครื่องตอนตีหนึ่งนี่อยากถูกจี้รึไง ขนาดผมเองซึ่งเป็นคนเวเนซูเอลา ผมยังไม่อยากจะเฉียดไปใกล้สนามบินในช่วงค่ำเลย ไม่ต้องพูดถึงชาวต่างชาติที่ไม่เข้าใจภาษาสเปนสักคำ แล้วนี่ยังจะเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองมาอีก จะทำจริงรึนี่”

ด้วยการต่อต้านขนาดนั้น ใครจะไปกล้าเถียงคนพื้นที่ Read more...

อ่านต่อไป...